ศิลปะผ่านการมอง

การมองเป็นสิ่งที่รับรู้ด้วยตาและไม่สามารถสัมผัสถึงสิ่งนั้นๆได้แต่สามารถส่งผ่านไปเป็นจินตนาการและความคิดได้ ดังนั้นแล้วการมองจึงเป็นสิ่งที่จะสามารถสร้างสรรค์ผลงานทางสิ่งปะใหม่ๆให้เกิดขึ้นได้จากการมองนั่นเอง ทำให้ผู้สร้างสรรค์ทางด้านศิลปะและศิลปินต่างๆนั้นมักพาตัวเองนั้นออกไปเพื่อพบกับโลกกว้างเพราะเป็นการเปิดโลกแห่งการมองให้พวกเขานั่นเอง

เมื่อเขานั้นเห็นสิ่งใหม่ๆสิ่งที่แตกต่างออกไปจากเดิมเขาก็จะสามารถสร้างสรรค์ผลงานชิ้นใหม่ๆและสิ่งที่แปลกใหม่ขึ้นมาได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วนั้นมักจะเรียกการออกมิงโลกที่กว้างขึ้นว่าการมองหาแรงบัลดาลใจนั่นเองและผู้สร้างสรรค์และศิลปินมักจะได้ไอเดียและความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆกลับมาทุกครั้งหลังจากไก้ออกไปมอสิ่งต่างๆมาด้วย

มองสิ่งต่างๆรอบตัวและจึงเกิดเป็นไอเดียหรือการสร้างสรรค์งานศิลปะขึ้น อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น ในปัจจุบันศิลปินและผู้สร้างสรรค์งานศิลปะนั้นมักเน้นเรื่องราวที่นำมาสร้างสรรค์ให้เป็นความจริงมากยิ่งขึ้น โดยการสร้างสรรค์ผลงานในสิ่งที่เขานั้นได้ออกไปเห็นและไปพบมานั่นเอง

เมื่อเขาออกไปยังสถานที่ใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิมและเขาได้มองสิ่งต่างๆเหล่านั้นจนเกิดความเข้าใจและนำมาสร้างสรรค์ผลงานในที่สุดนั่นเอง และความเป็นธรรมชาติจากสิ่งที่เขานั้นได้ออกไปเห็นไปมองจึงเกิดเป็นศิลปะที่มีความแปลกใหม่สมจริงปละดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

การมองเห็นจากคนอื่นและมีการเล่าสู่กันฟัง ซึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถนำมาสร้างสรรค์ศิลปะได้เช่นกันคือการมองเห็นจากคนอื่นซึ่งตัวศิลปินเองหรือผู้สร้างสรรค์นั้นอาจจะไม่ได้มีการมองเห็นหรือพบเห็นด้วยตัวเอง แต่มีการเล่าสู่กันฟังจากผู้ที่พบเห็นก็สามารถเป็นศิลปะผ่านการมองเห็นได้แต่จะเป็นการมองเห็นจากคนื่นนั่นเอง เมื่อเราได้รับฟังก็จะทำให้เห็นภาพและเกิดเป็นจินตนาการจนสามารถนำมาสร้างสรรค์ผลงานได้ ซึ่งการมองเห็นผ่านคนอื่นนั้นถอว่าเป็นงานศิลปะที่อาจจะมีการถ่ายทอดออกมาไม่สมบูรณ์100%นักเพราะไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดจากการมองเห็นโดยตรงของผู้สร้างสรรค์นั่นเอง

การสร้างสรรค์ศิลปะใหม่ๆได้จากการมองสะท้อนตัวเอง บางครั้งออกมาเป็นตัวเองนั้นก็ถือว่าเป็นการสร้างสรรค์ผลงานที่มีความพิเศษการมองตัวเองนั้นก็เป็นสิ่งที่ศิลปินหรือผู้สร้างสรรค์เกิดเป็นไอเดียและจินตนาการและนำมาสร้างสรรค์เป็นผลงานได้ ซึ่งการมองสะท้อนตัวเองนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนนั้นเข้าใจในตัวเองมากที่สุดอยู่แล้วทำให้สามารถที่จะสร้างสรรค์ผลงาน

และโดยส่วนใหญ่ผู้สร้างสรรค์หรือศิลปินที่มีการสร้างสรรค์งานในลักษณะนี้นั้นถือว่าผลงานนั้นจะค่อนข้างได้รับความนิยมจากผู้ชมอย่างมากเพราะเหมือนเป็นการบอกเล่าและทำให้ผู้คนนั้นรู้จักในตัวศิลปินและมีความเข้าใจในศิลปะมากขึ้นด้วยดังนั้นแล้วการมองถือเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งการสร้างสรรค์และผลงานทางศิลปะใหม่ๆได้

 

สนับสนุนโดย  สูตร บาคาร่า rb88

เรียนศิลปะอย่างเข้าใจและสร้างสรรค์

วิชาศิลปะเป็นวิชาขี่นพื้นฐานที่เรานั้นจะต้องเจอและเรียนมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ศิลปะจะเป็นสิ่วที่ใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เป็นหลักก็จริงแต่ในความเป็นศิลปะนั้นก็มีวิธรการและหลักการต่างในการสร้างสรรค์ศิลปะนั้นๆด้วย เพื่อให้ผลงานศิลปะของเรานั้นออกมามีคุณภาพและเพอร์เฟ็ตที่สุดนั่นเอง และถึงแม้เราจะมีการเรียนรู้ถึงศิลปะต่างๆเป็นเวลาที่นานตั้ว

แต่ในวัยเด็กแล้วนั้นแต่บางครั้งศิลปะที่เราเรียนมาก็เป็นสิ่งที่เราไม่ได้นำมาพัฒนาหรือต่อยอดให้ศิลปะที่เราเรียนมานั้นสามารถสร้างสรรค์ปลงานที่มีคุณค่าได้ ดังนั้นแล้วการเรียนศิลปะที่แท้จริงไม่ใช่การเรียนเพื่อผ่านเท่านั้นแต่จะต้องเรียนรู้และเข้าใจในศิลปะอย่างแท้จริงจึงจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณค่าทางศิลปะอย่างแท้จริงได้ด้วย

เมื่อเข้าใจในเรื่องทฤษฏีแล้วจะสามารถปฏิบัติได้โดยง่าย การที่เราเรียนทฤษฏีมาตั้งแต่เด็กนั้นก็ถือว่าเป็นข้อดีข้อหนึ่ง แต่เพียงเรานั้นไม่ได้นำสิ่งที่เรียนมาต้งแต่เด็กมาทำให้เกิดที่ที่มีคุณค่าเท่านั้น แต่อย่าน้อนทฤฏีที่เคยเรียนมาก็ถือว่าจะช่วยเรื่องการปฏิบัติโดยเรานั้นจะสามารถเรียนรู้และเข้าในเรื่องศิลปะต่างๆได้ดีมากกว่าผู้ที่ไม่คยเรียนรู้ศิลปะและจะมาลงมือปฏิบัติเลยนั่นเอง

ถึงแม้ศิลปะจะเป็นการสร้างสรรค์แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้นสุดท้ายแล้วศิลปะก็เป็นงานที่จะต้องมีขั้นตอนวิธีการเพื่อให้งานชิ้นนั้นออกมาดีที่สุดยนั่นเอง ดังนั้นทฤฏีจึงเป็นสิ่งที่จะนำพาเรานั้นไปสู่ความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ

ใช้ความเข้าใจมากกว่ากฎเกณฑ์ต่างๆ ถึงแม้จะมีทฤษฏีทางด้านศิลปะมากมาย เราจะต้องเรียนรู้นเรื่องทฤษฏีและทำควรเข้าใจให้เรานั้นสามารถที่จะเข้าใจให้ได้ ถ้าหากสงสัยในจุดใดกะต้องมีการถามผู้รู้เพื่อให้เรานั้นเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งเพราะความเข้าใจนั้นจะนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะได้อย่างสมบูรณ์และการที่เรานั้นสามารถเข้าใจในเรื่องศิลปะได้อย่างแท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้เรายังสามารถที่จะนำไปถ่ายทอดให้กับคนอื่นได้รับรู้ในเรื่องของศิลปะต่างๆได้ด้วย

ศิลปะไม่ใช่ความรู้แต่เป็นการขัดเกลาจิตใจและความคิด เป็นเพียงความรู้ในเบื้อต้นเท่นั้นไม่ใช่ความรู้ที่จะนำมาพัฒนาทางด้านร่างกายและจิตใจอย่างแท้จริง แต่เป็นสิ่งที่จะช่วยทำให้จิตใจเรานั้นมีความอ่อนโยนมากขึ้น ลองสังเกตได้จากการใช้ศิลปะในการบำบัดจิตใจของคนนั่นเอง เพราะเมื่อคนที่มีปัญหาทางสภวะจิตใจนั้น การใช้ศิลปะ

เข้ามาเกี่ยวกับชีวิตไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ผลงาน การปั้น การวาดร๔ปและศิลปะแขนงอื่นๆนั้น ก็จะทำให้ผู้ที่ใช้ศิลปะมีคสามใจเย็นขึ้นสามารคิดและวิเคราะห์แยกแยะส่งต่างๆรอบตัวดีขึ้นหรืออาจจะบอกได้ว่าศิลปะเป็นสิ่งที่ทำให้คนเรามีสติมากขึ้นนั่นเอง

เพราะการใช้ศิลปะ คือการอยู่กับตัวเองเพื่อให้เรานั้นได้เข้าใจตัวเองด้วย ดังนั้นแล้วการเรียนศิลปะไม่ว่าจะเพื่อเป้าหมายอะไรแต่ดการเรียนเข้าใจและสร้างสรคืเป็นสิ่งที่จะสามารถสร้างคุณค่าให้กับชีวิตของเราได้

 

สนับสนุนโดย  rb88 ดีไหม

รอยสักศิลปะแห่งเรือนร่าง

ปัจจุบันผลงานศิลปะทางด้านรอยสักนั้นถือว่าได้รับความนิยมจากเมื่ออย่างมาก เพราะสังคมเริ่มมีการยอมรับในเรื่องของรอยสักมากขึ้นเพราะไม่ว่าจะเป็นดารานักแสดงหรือผู้ที่มีชื่อเสียงในสังคมนั้นล้วนก็มีการสักเพื่อเพิ่มความเป็นศิลปะและเป็นสิ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวเองบนร่างกายนั่นเอง แต่หากย้อนกลับไปในสมัยก่อนนั้นรอยสักถือว่าเป็นสิ่งที่สังคมนั้นยังไม่มีการเปิดกว้าง

และเป็นสิ่งที่สังคมยังไม่ค่อยยอมรับมากนัก ทำให้คนที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ก็ไม่กล้าที่จะทำในสิ่งเหล่านี้นั่นเอง เนื่องจากการมีชื่อเสียงคือต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้ชมและผู้ที่ติดตามนั่นเอง ทำให้ดารางนักแสดงนักร้องหลายๆคนนั้นเกิดความไม่เป็นตัวเองขึ้น และเมื่อมีการเป็นในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเป็นนั้นก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และเกิดการต่อต้านขึ้นก็มี

ในช่วงที่รอยสักเริ่มมีการยอมรับจากสังคมมากขึ้นทำให้ผู้ที่มีชื่อเสียงหลายๆคนนั้นนิยมที่จะไปสักเพราะพวกเขาก็มองว่ารอยสักเป็นเพียงศิลปะที่เปลี่ยนจากกระดาษและมาไว้บนเรือนร่างนั่นเอง และรอยสักก็เริ่มมีการยอรับมากขึ้นในสังคมโดยเฉพาะสังคมในต่างประเทศทางยุโรปนั้น

พวกเขาไม่ได้วัดคุณค่าของคนที่รอยสักนั่นเอง ทำให้คนฝั่งยุโรปนิยมที่จะมีรอยสักทั้งคนทั่วไปและคนดังมีชื่อเสียงด้วย โดยส่วนใหญ่รอยสักที่คนมักสักกันนั้นมักจะเป็นเรื่องราวที่มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตและการสักถือว่าเป็นการบอกเล่าและเก็บความทรงจำได้อย่างดี

เพราะเมื่อเรามองรอยสักบนเรือนร่างของเราแล้วนั้นเราจะนึกขึ้นได้ในทันทีว่าเราสักรอยสักนี้ทำไมและสักเพื่ออะไรนั่นเองทำให้การสักเพื่อบันทึกความทรงจำนั้นเป็นที่นิยมในการสักอย่างมากและการสักในลักษณะนี้ก็ได้รับความนิยมในหมู่คนทั่วไปและในหมู่คนดังมีชื่อเสียงด้วย

เมื่อรอยสักได้รับความนิยมและเป็นที่ยอมรับมากขึ้นก็ทพให้วงการด้านศิลปะบนเรือนร่างร่างอย่างการสักนั้นมีการเจริญเติบโตขึ้น ผู้ที่ชื่นชอบในการสัก ผู้สร้างสรรค์ผลงานบเรือนร่าง ล้วนก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและทำให้ความนิยมเพิ่มขึ้นในทุกๆปีเพราะคนเรานั้นมองเห็นถึงอิสระมากขึ้นในการใช้ชีวิตและการสักนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด เป็นเพียงความชอบ รสนิยมส่วนตัวเท่านั้น

และยังมองเป็นศิลปะที่สวยงามมากๆอีกอย่างหนึ่งด้วย ถึงแม้จะมีการเปิดกว้างในเรื่องการสักนั้นแต่ก็ยังคงมีคนน้อยที่มีการต่อต้านอยู่ด้วยเช่นกัน ทำให้บางครั้งศิลปะบนเรือนร่างนี้ก็ยังคงมีการถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรผู้ที่ชื่นชอบในศิลปะบนเรือนร่างได้

เพราะโดยส่วนใหญ่คนที่กล้าทำและยอมรับนั้นเป็นคนที่คิดต่างและพร้อมที่จะเข้าใจความคิดเห็นของคนอื่นอยู่เสมอนั่นเอง ดังนั้นแล้วอย่าไปกังวลนเรื่องรอยสัก รอยสักคือศิลและศิลปะคือความสวยงามความสวยงามเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรมีอยู่ในชีวิตของเรา

 

สนับสนุนโดย  เว็บ rb88

ตำนานเรื่องราวความรักของโจรสามีภรรยา ลักรถ

           ตำนานเรื่องราวความรักที่จะพูดถึงต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและเป็นเรื่องราวความรักที่โด่งดังมากจนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และถูกนำมาสร้างในละครทีวีอยู่หลายต่อหลายครั้งอีกทั้งยังมีการจัดนิทรรศการบอกเล่าถึงเรื่องราวความรักของคนทั้งคู่

ซึ่งเรื่องนี้เป็นความรักที่เกิดขึ้นจริงของคู่รักคู่หนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยทั้งคู่นั้นมีอาชีพเป็นโจรสำหรับเรื่องราวของคนทั้งคู่นั้นเกิดขึ้นเมื่อมีชายที่ชื่อว่า ไคลด์  และหญิงสาวที่ชื่อว่าบอนนี่โดยทั้งคู่นั้นมีอาชีพเป็นโจรขโมยของและทั้งคู่นั้นได้มาเจอกันครั้งแรกที่บ้านของเพื่อนของคนทั้งคู่หลังหนึ่ง

ซึ่งมีการจัดงานเลี้ยงกันหลังจากที่ทั้งคู่ได้เจอกันนั้นก็เกิดตกหลุมรักซึ่งกันและกันและตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างไรก็ตามเนื่องจากว่าไคลด์ นั้นเป็นขโมยที่ขโมยของมาก่อนและมีหมายจับจากทางตำรวจอยู่หลายหมายด้วยกันทำให้ในที่สุดเขาก็ถูกจับขังคุก

  แน่นอนว่าด้วยความที่บอนนีนั้นคิดถึงสามีของตนเองมากเธอจึงได้เดินทางไปเยี่ยมสามีของเธอติดคุกพร้อมกับแอบนำปืนไปให้กับสามีของเธอเพื่อที่จะได้ใช้ในการแหกคุกและในที่สุด ไคลด์ ก็ได้แหกคุกออกมาอยู่กับวันนี่แต่ไม่นานเขาก็ถูกจับเข้าคุกอีกรอบหนึ่งซึ่งการถูกจับครั้งที่ 2 นี่เองทำให้เขาต้องติดคุกนานขึ้นกว่าเดิมโดยศาลตัดสินว่าเขาจะต้องจำคุกอยู่เป็นระยะเวลาถึง 14 ปี

ด้วยกันด้วยความที่ไคลด์ คิดถึงภรรยาของเขาเป็นอย่างมากเขาจึงตัดสินใจที่จะทำร้ายตนเองด้วยการเอาขวานฟันไปที่นิ้วเท้าตรงหัวแม่โป้งทำให้เขานั้นกลายเป็นคนพิการและสามารถออกจากคุกได้ในที่สุดโดยเขาตั้งใจไว้ว่าเขาจะอยู่ในคุกแค่ครั้งนี้เท่านั้นและเมื่อออกไปข้างนอกก็จะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีแต่อย่างไรก็ตามในช่วงที่เขาออกจากคุกมานั้นเป็นช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกากำลังประสบปัญหาอย่างหนัก

เขาพยายามหางานทำอยู่หลายที่แต่ก็ไม่มีที่ไหนที่จะรับเข้าทำงานเลยเขาไม่มีอาชีพที่สามารถทำงานสุจริตได้ในที่สุด ไคลด์ ก็ต้องกลับไปทำอาชีพเดิมอีกครั้งหนึ่งโดยไคลด์และบอนนี่ ต้องกลับไปทำอาชีพเดิมอีกครั้งโดยครั้งนี้พวกเขาร่วมมือกันขโมยรถยนต์ไปขาย  และยังมีการปล้นเอาทรัพย์สินของชาวบ้านไปอีกด้วย แต่ในที่สุด ทั้งบอนนี่ และไคลด์

ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงตาย ในขณะที่พวกเขากำลังปล้นรถยนต์ของประชาชนอยู่ ก่อนตาย เขาได้ขอร้องให้ญาติของพวกเขาช่วยฝังพวกเขาเอาไว้รวมกันในหลุมศพเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีใครที่จะทำตามในสิ่งที่ไคลด์ต้องการเลย และเรื่องราวของทั้งคู่ก็กลายมาเป็นตำนานความรักที่โด่งดังมากในอเมริกา

 

สนับสนุนโดย  รหัส ฟรี เดิมพัน next88

สัตว์ประหลาดที่ยังไม่มีคำอธิบายใดๆเกี่ยวกับสายพันธุ์ของมัน

โรเพ็น

เมื่อในปี2004 เดวิด เวทเซล ได้มุ่งหน้าเข้าไปยังปาปัวนิวกินี เพื่อที่จะตามหาไดโนเสาร์ที่มันอาจจะยังได้มีชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบัน ซึ่งยังได้มีความเกี่ยวข้องกับแสงที่มันสามารถบินได้ที่ไม่มีการอธิบายอะไรไว้เลยในหนังสือ ของนักกีฏวิทยาชาวอังกฤษผู้หนึ่ง เมื่อในปี1935

ซึ่งก็ได้เชื่อว่าได้มีความเกี่ยวข้องของแสงกับโรเพ็นและยังงว่ากันว่ายังได่มีการจับภาพของสิ่งที่มีชีวิตที่มีลักษณะเหมือน เทอร์โรซอร์ เอาไว้ได้ ทั้งนี้ก็ยังได้มีอีกหายคนได้เชื่อว่าภาพบันทึกเหล่านี้มันอาจจะเป็นเพียงแค่นกเท่านั้น ซึ่งทางด้านชาวพื้นเมืองก็ยังได้อธิบายลักษณะของ โรเพ็น เอาไว้ว่ามันได้มีลักษณะเหมือนค้างคาว

ซึ่งพวกมันชอบออกหากินในช่วงเวลากลางคืนและมันชอบมีนิสัยที่ดุร้าย ศึ่งจะมีฟันที่แหลมคมและหางที่เหมือนกับแซ่ นอกจากนี้โรเพ็นยังได้มีลักษณะเฉพาะที่มันสามารถเรืองแสงออกมาได้จึงได้ทำให้มันสามารถล่อและได้เข้าจู่โจมปลาในขณะที่มันกำลังบินอยู่เหนือมหาสมุทรในช่วงตอนเวลากลางคืน

งูบู

เมื่อประมาณปี2000ก็ได้มีกลุ่มนักวิจัยที่กำลังพยายามศึกษเพื่อที่จะตามรอยของ โมแคเล อึมแบมเบ ที่ได้เป็นไดโนเสาร์จำพวก ซอโรพอดที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักนัก แต่พวกเขากลับได้พบกับปริศนาใหม่ๆ ซึ่งในขณะที่พวกเขาได้ทำการสัมภาษณ์นักล่าของชนเผ่าปิ๊กมี่ที่อยู่ในป่าลึกของประเทศแคเมอรูน

จึงทำให้ บิล กิบบอนซ์ และ เดวิด เวทเซล ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับ งูบู ซึ่งได้เป็นสัตว์จำพวกแรดที่ได้มีขนาดใหญ่ที่มีเขาอย่างน้อยหกเขาที่กำลงต่อสู้กับช้างเพื่อแย่งชิงอาณาเขตที่อยู่ริมบริเวณแม่น้ำคองโกซึ่งเรได้เชื่อว่าสัตว์พื้นเมืองที่พวกเขาได้พูดถึงนั้น

มันคือไดโดเสาร์พันธุ์ สไตแรคาซอรัส นอกจากคนพื้นเมืองแล้วก็แทบจะไม่มีคนภายนอกได้พบกับสัตว์ปริศนาชนิดนี้ได้เลย โดยในปีประมาณ1919ก็ได้มีข่าวออกมาหน้าหนังสือพิมพ์ว่าข่าวเกี่ยวกับนักล่าชาวตะวันตกคนหนึ่งที่เขาได้ถูกจู่โจมโดยมีสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีเขาหลายอัน

ริเวอร์ ดีโนซ์

ตั้งแต่ที่ได้มีการาบุกรุกเข้าไปในพื้นที่อเมริกาตะวันตกก็ได้มีภาพถ่านและเรื่องราวที่ได้มีการเล่าต่อกันมาเกี่ยวกับสัตว์ที่มีขนาดเล็กที่เรียกว่า ริเวอร์ ดีโนซ์ สิ่งมีชีวิตชนิดนี้เป็นเหมือน เวโลซีแรปปเตอร์เวอร์ชั่นขนาดเล็กที่มีขนน้อย

โดยมีการบันทึกเอาไว้จากฟอสซิลที่ถูกขุดค้นพบ ซึ่งก็ได้มีการกล่าวเอาไว้ว่า ริเวอร์ ดีโนซ์ อาจเป็นเพียงกิ้งก่าคาเลอด์ ที่มีลักษณะพิเศษคือการวิ่้งทางตรงด้วยขาหลังทั้งสองข้างแต่ถึงอย่างไรก็ตามยังไม่มีการบันทึกหรือคำอธิบายใดๆที่มีความเกี่ยวข้องกับสายพันธุ์ของมันในลักษณะที่มีกรงเล็บที่น่ากลัวฟันของมันที่แหลมคมและยังรวมไปถึงพฤติกรรมของมันที่มีความดุร้ายแบบสัตว์กินเนื้อเลย

 

สนับสนุนโดย  next88

ศิลปะการแสดง

อาชีพงานในสาขานักแสดงนั้นถือเป็นสาขาอาชีพที่มีความเกี่ยวเนื่องในเรื่องของการใช้ศิลปะเพราะการแสดงนั้นมีสิ่งที่จะต้องแสดงออกมาเพื่อให้สมกับบทบาทที่ได้รับทำให้นักแสดงนั้นจะต้องนำศิลปะเข้ามาร้วมในการสดงด้วยนั่นเอง ถือ่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากพอสมควร

เพราะศิลปะที่ต้องนำมาใช้ในการแสดงนั้นมีอยู่หลายศิลปะมากมาย ซึ่งตัวนักแสดงเองนั้นจะต้องมีความอดทนอย่างมากในการฝึกศิลปะหลายๆอย่างให้รวมอยู่ในตัวเองเป็นหนึ่งเดียว เมื่อนักแสดงคนนั้นสามารถที่จะรวบรวมศิลปะต่างๆที่จะช่วยให้การแสดงออกในบทนั้นก็จำทหม้ความเป็นตัวลครที่นักแสดงได้แสดงนั้นออกมาดูเป็นธรรมชาติหรือที่เรียกว่าแสดงได้สมบทบาทนั่นเอง 

และศิลปะโดยส่วนใหญ่ที่นักแสดงจะต้องใช้นั้นก็จะเป็นการใช้ศิลปะร่ววมกับการใช้ท่าทาง การแสดงออกถึงท่าทางของตัวละครหรือบมที่ได้รับนั้นเป็นสิ่งที่มีความย้อนแยงกับตัวเอโดยส่วนใหญ่ เพราะว่าไม่มีนักแสดงคนไหนอย่างแน่นอนที่เป็นคนอย่างในบทหรือในตัวละคร

เพราะเราก็ต่างต้องเป็นตัวเองกันทั้งนั้นหรือถ้าหากมีก็อาจจะมีส่วนที่เหมือนกับบทหรือตัวละครน้อยมาก เพราะบทบาทที่ถูกสร้างโดยส่วนใหญ่ล้วนมาจากความคิกและจินตนาการของผู้เขียนบทเพื่อให้นักแสดง แสดงเพียงเท่านั้น

ดังนั้นการใช้ท่าทางเพื่อสารในเรื่องของอารมณ์จึงเป็นสิ่งที่จะต้องมีการนำศิลปะท่าทางมาเป็นแนวทางในการเรียนรู้เพื่อให้นักแสดงสามารถที่จะเรียนรู้และแสดงออกมาในบาทบาทนั้นๆได้อย่างธรรมชาติและสมจริงนั่นเอง

การแสดงสีหน้า ก็เป็นศิลปะที่นักแสดงจะต้องมีการแสดงสีหน้าออกมาให้สมบทบาทนั่นเองและศิลปะการแสดงสีหน้านั้นจะเกี่ยวข้องกับศิลปะการใช้อารมณ์ใช้อารมณ์อย่างไรให้สมบทบาทและมีความเหมาะสมกับลักษณะของบทบาทนั้นๆ

ซึ่งก้จะต้องใช้จินตนาการในการสดงสีหน้าเข้ามาร้วมในการถ่าบทอดบทบาทด้วย จินตนาการจึงเป็นส่วนสำคัญและเป็นสิ่งที่นักแสดงนั้นจะต้องสามารถจินตนาการเพื่อที่จะเข้าถึงบทเหล่านั้นให้ได้ และสำหรับผู้ที่มีความสามารถในศิลปะการแสดงขั้นสูงแล้วนั้นการแสดงสีหน้าจะต้องมีการแสดงออกมาอย่างธรรมชาติและมีความซ่อนเร้นในสีหน้านั้นๆด้วยถึงจะเรียกว่าเป็นการใช้ศิลปะการแสดงอย่างเต็มที่

การสร้างสรรค์ก็เป็นอีกสิ่งที่นักแสดงจะต้องมีเช่นกันศิลปะไม่ว่าจะเป็นศิลปะในด้านใดๆการสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ถือว่าเป็นหัวใจของศิลปะเลยนั่นเอง เพราะการสร้างสรรค์นั้นจะเป็นการทำให้เกิดสิ่งใหม่ๆขึ้นมาและสิ่งใหม่ๆจะต้องมีความน่าสนใจด้วย

ถึงจะเป็นการสร้างสรรค์ที่ประสบผลสำเร็จ ดังนั้นในสาขาการแสดงการสร้างสรรค์จึงเป็นสิ่งที่นักแสดงจะต้องมีและนำมาใช้เพื่อให้สามารถเข้าถึงบทได้อย่างแท้จริง เพราะนักแสดไม่ใช่เพียงจะเล่นตามบาทบาทที่ถูกวางเท่านั้นแต่จะต้องมีการสร้างสรรค์ลักษณะเด่นของตัวละครในบทบาทให้เกิดความน่าสนใจและไม่เกิดความน่าเบื่อในตัวละครนั้นๆนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  entaplay

ตำนานนารีผล หรือมักกะลีผล

          เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินตำนานเกี่ยวกับเรื่องนารีผลหรือมักกะลีผลซึ่งว่ากันว่าเป็นผลไม้ที่อยู่ในป่าหิมพานต์ ซึ่งลักษณะของผลของนารีผลนั้นจะเป็นรูปร่างของหญิงสาวซึ่งส่วนหัวนั้นจะอยู่ติดกับขั้วตรงกิ่งไม้ โดยจะมีผมยาวและมีสีทองมีรูปร่างหน้าตาสะสวยดวงตากลมโตสามารถพูดคุยได้เหมือนกับมนุษย์

เมื่ออายุครบ 7 วันก็จะเหี่ยวเฉาและมีรูปร่างคล้ายกับมนุษย์ แม้ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าเท่านั้นแต่เมื่อประมาณปีค.ศ 1996 ได้มีข่าวลงในหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งซึ่งเป็นข่าวที่โด่งดังมากของประเทศไทยโดยมีเนื้อหาใจความสำคัญว่า พบซากคล้ายสัตว์แห้งๆแต่ว่ามีกลิ่นหอมมากโดยคนที่ครอบครองเอาไว้อ้างเอาไว้ว่า

สิ่งที่เขาถือครองอยู่นี้คือมักรีผล แต่อย่างไรก็ตามหลายคนที่ได้เห็นภาพรูปมักกะลีผลที่มีการนำมาแสดงแล้วกลับคิดเป็นอีกอย่างหนึ่งว่าภาพดังกล่าวนั้นน่าจะเป็นภาพของตัวอ่อนของเด็กที่ยังไม่โตเต็มที่แล้วถูกนำมาทำให้แห้ง และยังมีการเล่าลือกันอีกว่าที่จริงแล้วมักรีผลนั้นไม่มีอยู่จริงเป็นเพียงแค่ตำนานที่เล่าหรือพูดคุยกันมาเท่านั้นโดยมักกะลีผลที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันนั้นแท้ที่จริงแล้วก็เป็นเพียงแค่มันที่มีคนนำมาแกะสลักเป็นรูปร่างของคนขึ้นมาเท่านั้นเอง

ซึ่งมักรีผลที่มักจะเห็นกันอยู่มากนั้นมักจะมีขายอยู่ที่บริเวณชายแดนประเทศลาว อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้ว่ามักรีผลนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นแค่เรื่องเล่าหรือตำนานหรือเป็นเรื่องจริงก็แล้วแต่แต่คนในสมัยโบราณก็ยังคงมีการเชื่อกันว่ามักรีผลนั้นมีอยู่จริงและตำนานป่าของหิมพานต์นั้นก็มีอยู่จริงด้วยเช่นเดียวกันดังที่เรามักจะได้ยินเกี่ยวกับนิทานที่มีการกล่าวถึงเรื่องของป่าหิมพานต์อย่างเช่นเรื่องของพรานบุญที่ไปจับกินรีมาก็มาจากป่าหิมพานต์นั่นเอง

ซึ่งปัจจุบันนี้เรายังสามารถเห็นมักรีผลได้จากภาพว่าต่างๆซึ่งจะมีการว่าตามฝาผนังของโบสถ์ภายในบริเวณวัด สำหรับเรื่องราวของนารีผลนั้นเกิดขึ้นในสมัยที่พระเวสสันดรและนางมัทรีพร้อมกับลูกทั้งสองคนนั้นถูกส่งให้เดินทางเข้าไปยังในป่าหิมพานต์ เลยให้เขาเหล่านั้นเข้าไปบำเพ็ญเพียรอยู่ภายในป่าหิมพานต์ซึ่งที่นั่นจะมีสัตว์ป่าอยู่มากมาย

อย่างไรก็ตามในป่าหิมพานต์นั้นก็มีพวกฤาษีและคนที่ไปบำเพ็ญเพียรตบะคนอื่นๆต่างก็พากันไปพูดคุยกับพระเวสสันดรและนางมัทรีเนื่องจากว่านางมัทรีนั้นเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างสวยงามจึงทำให้พวกคนที่ไปบำเพ็ญเพียรนั้นอยากได้นางมัทรีเป็นภรรยาเมื่อเทวดารู้เรื่องเข้าจึงได้เนรมิตต้นไม้จำนวน 16 ต้นปลูกเอาไว้บริเวณรอบบ้านของพระเวสสันดรและนางมัทรี

ซึ่งต้นดังกล่าวนั้นก็คือต้นมักกะลีผลนั่นเอง ว่ากันว่า เมื่อมักรีผลออกดอกนั้นเพื่อจะมีหน้าตาคล้ายกับหญิงงามคล้ายๆกับ เทพธิดาโดยเทวดานั้นต้องการเศษให้นารีผลนั้นคอยขัดขวางไม่ให้คนที่บำเพ็ญเพียรนั้นได้เข้าไปยุ่งกับนางมัทรีและพระเวสสันดรได้จนท้ายที่สุดแล้วเมื่อพระเวสสันดรและนางมัทรีเดินทางออกจากป่าหิมพานต์ต้นนารีผลนั้นก็ยังคงอยู่ในป่าหิมพานต์เหมือนเดิมนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  ทางเข้า rb88

การทดลองที่ทำให้ผู้ป่วยทางจิตเวชต้องเสียชีวิตลงถึง49ราย

เพิ่มความฉลาด

เมื่อปี2005 นักวิทยาศาสตร์แห่งสถานบันวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ซอล์คในแคลิฟอร์เนีย ได้ทำการทดลองฉีดเต็มเซลล์ตัวอ่อนของมนุษย์เข้าไปในสมองของหนู ซึ่งถือว่ามันได้เป็นครั้งแรกที่ได้มีการนำเอาเซลล์ประสาทของมนุษย์ใส่เข้าในกระโหลกของสิ่งมีชีวิตอื่นแม้ว่าได้ทำการฉีดเซลล์ของมนุษย์กว่า100,000เซลล์เข้าไปในหนูทดลอง

แต่ละตัวแล้วแต่ก็ยังคงให้เซลล์สมอง99%นั้นยังเป็นหนูอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดคำถามหรือข้อครหาทางศีลธรรมว่า “สร้างสิ่งมีชีวิตที่เหมือนมนุษย์เกินไป”สเต็มเซลล์ที่ได้ถูกฉีดเข้าไปถูกย้อมให้เป็นสีเขียวเพื่อที่จะได้สามารถติดตามดูผล ซึ่งได้พบว่าเซลล์เหล่านี้ได้พัฒนากลายมาเป็นเซลล์สำคัญที่พบได้ตามปกติในสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม

นอกจากนี้ยังมีการเฝ้าสังเกตจุดไซแนปส์หรือจุดประสารประสาทที่อยู่ระหว่างเซลล์ลูกผสมแต่ทว่ากยังไม่ทราบถึงผลที่แน่นชัดว่าสัญญาณไฟฟ้าที่ส่งมานั้นเป็นสัญญาณของหนูหรือของมนุษย์ต่อมาทางศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยแห่งโรเซสเตอร์ในนิวยอร์กได้ทำการทดลองนี้อีกครั้งในปี2014 ด้วยการฉีดสเต็มเซลล์ของมนุษย์เข้าไปในหนูทดลองถึง300,000เซลล์ โดยในครั้งนี้เซลล์พัฒนาเพิ่มขึ้นเป็น12ล้านเซลล์  ซึ่งทำให้เห็นความฉลาดของหนูเพิ่มขึ้นได้อย่างชัดเจน

ความผิดปกติการกระทำผิดและความวิกลจริต

ดร.เฮนรี คอตตอน อดีตหัวหน้าแพทย์ของโรงพยาบาลจิตเวชประจำรัฐนิวเจอร์ซี่ย์ ซึ่งก็คือโรงพยาบาลจิตเวชเทรนตัน ดดยตั้งแต่ในปี1907 – 1930 ซึ่งได้เป็นช่วงที่ คอตตอน ได้ทำหน้าที่อยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้เขาได้ทำการทดลองหลายครั้งกับผู้ป่วยจิตเวชเพื่อที่จะพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของเขาที่เชื่อว่าความผิดปกติทางจิตนั้นเกิดจากที่อวัยวะภายในร่างกายทำงานผิดปกติ

โดนคอตตอนและทีมของเขาได้ทำการทดลองที่เรียกว่า “การผ่าตัดแบคทีเรียวิทยา”ซึ่งได้เป็นการผ่าตัดเอาอวัยวะออกเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื่อโรค โดยเริ่มจากการถอนฟันของผู้ป่วยซึ่งได้มีการบันทึกพร้อมภาพประกอบไว้ในคู่มือของเขาที่ชื่อว่า “ความผิดปกติการกระทำผิดและวิกลจริต”แพท์เขาจะค่อนๆทำการตัดอวัยวะของร่างกาย

ในส่วนที่สำคัญออกทีละส่วนและในขณะเดียวกันพวกเขาก็จะค่อยสังเกตอาการทางจิตของผู้ป่วยไปด้วย โดยในปี1922คอตตอนได้เผยแพร่ผลงานของเขาและอ้างว่าวิธีการรักษาผู้ป่วยจิตเวชของเขานั้นได้ประสบผลสำเร็จถึง85%แต่ในอีกด้านหนึ่งเขาก็ยอมรับว่าจากการทดลองนั้นเขาต้องสูญเสียผู้ป่วยไป30-45%เลยทีเดียว และหลังจากที่เขาได้เสียชีวิตไปแล้วได้มีการสืบสวนเพิ่มเติมทำให้ได้พบว่ามีผู้ป่วยจำนวน49รายต้องเสียชีวิตจากการทดลองอันโหดร้ายเหล่านี้

 

สนับสนุนโดย  rb88 line

ความเชื่อเกี่ยวกับลัทธิซาตาน

ลัทธิซาตานทำไมได้ไปเกี่ยวข้องอะไรกับยาเสพติดคือถ้าเกิดเราพูดถึงลัทธิซาตานแบบเต็มที่ที่เลวร้ายที่สุดเลยก็คือการฆ่าคนนู้นหรือรักพาคนนี้เพื่อมาทำพิธีกรรมบูชายันต์อะไรแบบนี้ถูกหรือไม่แต่ทีนี้มันได้มีเรื่องของยาเสพติดได้เข้ามาเกี่ยวข้องเราก็เกิดความสงสัยก็เลย

ไปถามรุ่นพี่คนหนึ่งที่เขาเคยเล่าเรื่องของลัทธิซาตานให้เราฟังว่าเขาเคยได้มีโอกาสหนึ่งเกือบได้เข้าไปที่โบสถ์ลัทธิซาตานในต่างประเทศประเทศหนึ่ง

ซึ่งเราขอไม่บอกชื่อประเทศ โดยซึ่งที่รุ่นพี่คนนี้เขาได้บอกมาเขาบอกว่าคอนที่เขาได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ต่างประเทศเขาได้อยู่บ้านพักที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับโบสถ์ลัทธิซาตานเลย และทุกครั้งที่เขาได้กลับเข้ามาที่บ้านพักของเขา เขาก็จะได้ยินเสียงบนสวดประะหลาดจะได้กลิ่นสาบแปลกๆหรือกลิ่นอะไรสักอย่างหนึ่งที่บอกไม่ได้ว่ามันคือกลิ่นอะไร

หรือบางทีหนักหน่อยก็มีคนเล่าว่าเคยมีเด็กถูกอุ้มเข้าไปในโบสถ์หลังนี้ก็มีอยู่เหมือนกัน ซึ่งตรงนี้รุ่นพี่เขาบอกว่าเขาสงสัยว่าโบสถ์หลังนี้เขาทำอะไรกันเขาก็เลนตัดสิ้นใจว่าจะรองเข้าไปในลัทธิซาตานดูเขาก็ได้เดินเข้าไปที่โบสถ์แต่ในขณะที่เขากำลังเข้าไปปรากฎว่าทางเข้าโบสถ์นั้น

ได้มีคนเฝ้าประตูอยู่และคนที่เฝ้าประตูเขาก็ได้บอกมาว่าถ้าคุณอยากจะเป็นคนในลัทธิซาตานคุณจะต้องทำพิธีกรรมและทำภารกิจให้สำเร็จก่อนที่จะเข้าลัทธิและเข้าโบสถ์ของเราได้รุ่นพี่เราก็ได้ถามไปว่าแล้วภารกิจหรือพิธีกรรมจะต้องทำอะไรบ้าง

และคำตอบที่ได้จากคนที่เฝ้าประตูโบสถ์ก็คือคุณจะต้องไปหาเลือดสดๆของเด็กมาให้เราและเราจะนำมาประกอบพิธีก่อนและให้คุณดื่มเลือดของเด็กคนนั้นเข้าไปและพอได้ยินคำตอบแบบนั้นออกมารุ่นพี่เขาก็ได้เลือกเดินออกมาและเลือกที่จะไม่เข้าลัทธินี้เพราะว่ามันค่อนข้างที่จะน่ากลัวไปหน่อยคือตรงนี้เขาก็ไม่ได้แจ้งมาว่าเลือดของเด็กจะหาได้มาจากที่ไหน

เขาบอกเพียงแค่ว่าจะต้องหาเลือดเด็กสดๆมาให้เขาและให้เขาไปทำพิธีกรรมก่อนที่จะให้เราดื่มเลือดนั้นเข้าไปรุ่นพี่เราก็ได้ตัดสิ้นใจเดินออกมาจากโบสถ์นั้นแต่ก่อนที่จะออกมาคือตอนที่เขาได้ยืนอยู่หน้าโบสถ์เขาก็ได้ยินเสียงประหลาดเยอะแยะมาก

ไม่ว่าจะเป็นเสียงสวดเสียงกีดร้องหรือแม้แต่จะเป็นกลิ่นสาบหรือกลิ่นอะไรแปลกๆ ซึ่งตรงนี้เขาก็ให้คำตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไรแต่โบสถ์นี้รุ่นพี่เราเขาแจ้งว่าคนในบริเวณรอบข้างเขาได้ทำการแจ้งไปยังสถานีตำรวจว่ามีการใช่เสียงดังมีความรู้สึกว่ามันผิดปกติในโบสถ์แห่งนี้แต่สุดท้ายกลายการแจ้งเรื่องก็เงียบลงไม่การเข้ามาตรวจสอบไม่มีการเข้ามาดูแล

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน แทงขั้นต่ํา10บาท

เพราะอะไรไดโนเสาร์ถึงสูบพันธุ์  

สำหรับเรื่องของการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เราเชื่อว่าหลายๆคนก็น่าจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วก็เคยได้ยินกันมาบ้างว่ามันเกิดจากอุกกาบาตพุ่งชนโลกแล้วทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปกคลุมไปทั่วโลกแล้วก็ไม่มีอาการหายใจจนตายบ้างหรือภูเขาไฟได้มีการเกิดการระเบิดครั้งใหญ่

หรือภูเขาไฟใต้น้ำระเบิดอุณหภูมิโลกได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเราก็จะเคยได้ยินกันมาประมาณนี้ จริงๆแล้วเราอยากจะบอกว่าการสูญพันธุ์ของพวกสัตว์ดึกดำบรรพ์ไดโนเสาร์ทั้งหลายจริงๆแล้วมันไม่ได้มีการสูญพันธุ์เพียงแค่ครั้งเดียวตามข้อมูลที่เราได้ไปศึกษามาเขาบอกเอาไว้ว่าในอดีตที่ผ่านมามันเคยมีการสูญพันธุ์หรือโดนฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จากธรรมชาติ

มามากกว่า5ครั้งแล้วจริงๆมันอาจจะเยอะไปกว่านี้ก็ได้แต่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ได้สรุปใจความได้แค่ว่าเคยมีการสูญพันธุ์ทั้งสิ้นมาแล้ว5ครั้งด้วยกันและในการเกิดเหตุการณ์เหล่านี้มันค่อนข้างที่จะมีระยะเวลาที่ยาวนานมันเลยทำให้ซึ่งที่มีชีวิตในยุคนั้นมันได้สูญพันธุ์ไปกว่า50-90%เลยก็ว่าได้โดยการสูญพันธุ์ในครั้งแรกเกิด450-440ล้านปีก่อนในยุคที่มีชื่อว่า ออร์โดวิเชียน-ไซลูเรียน หรือจะเรียกกันสั้นๆว่าปลายยุคออร์โดวิเชียน

โดยเหตุการณ์นี้มันได้เป็นผลมากจากยุคน้ำแข็งงที่มันทำให้ระดับน้ำทะเลได้ลดลงอย่างกระทันหันมันจึงทำให้ระบบนิเวทที่อยู่บริเวณน้ำตื้นที่อยู่ใกล้ชายฝั่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงมากส่วนสาเหตุก็ได้มีการคาดเดากันว่ามันน่าจะเกิดจากการที่เทือกเขาแอปปาเลเชียนได้ยกตัวสูงขึ้นมันเลยทำให้มีหินผุดขึ้นมาใหม่ด้วย

โดยหินนั้นมันได้มีส่วนประกอบสิริเกตที่ทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่อยู่ภายในอากาศได้ถูกดึงออกไปเป็นจำนวนมากถ้าคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศในสมัยก่อนที่คาดเดาว่ามันน่าจะมีประมาณ7,000PPMเหลือเพียงประมาณ4,400PPMเพียงเท่านั้นเองและเมื่อประมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงมันก็เลนทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกมันได้ลดลงตามไปได้

มันเลยทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกได้ลดลงตามไปด้วยเพราะว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เราก็ได้รู้กันหมดแล้วว่ามันคือก๊าซเรืองกระจกและสาเหตุการณ์นี้มัมนเลยทำให้สิ่งที่มีชีวิตในทะเลได้สูญพันธุ์ไปกว่า85%จากจำนวนสายพันธุ์กันเลยทีเดียว จากที่เขาได้มีการบันทึกเอาไว้เขาได้บอกว่าสิ่งที่มีชีวิตที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในเหตุการณ์นี้นั้นก็คือ โคโนดอนต์ ไทรโลไบต์ และ แกรปโทไลต์ ซึ่งสามตัวนี้มันได้เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่จำพวกมีลักษณะคล้ายกับแมงดาในปัจจุบันนั้นเอง

 

สนับสนุนโดย  เว็บพนัน แนะนํา