ทำไมมีประชากรอาศัยอยู่ขั้วโลกเหนือมากกว่าขั้วโลกใต้

สำหรับขั้วโลกใต้นั้นจะมีการเริ่มฤดูร้อนในช่วงเดือนธันวาคมยาวนานประมาณ5เดือนและจากนั้นจะเข้าสู่กลางคืนที่มีความยาวนานประมาณถึง5เดือนกันเลยทีเดียว ถิ่นที่อยู่อาศัย

เนื่องจากว่าขั้วโลกเหนือนั้นมันได้เป็นเขตแดนของหลายประเทศและมันก็ได้ทำให้ดินแดนที่มีความหนาวเย็นแห่งนี้มันก็ได้มีผู้คนที่ได้อาศัยอยู่หลากหลายอยู่แถวนี้ โดยเฉพาะคนพื้นเมืองได้แก่ชาวเอสกิโมจากทวีปอเมริกาเหนือชาวซามิจากทวีปอเมริกายุโรปและชาวยาครุสจากไซบีเรีย

ซึ่งชนชั้นเมืองเหล่านี้ก็ได้เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มาอย่างยาวนาน ซึ่งก็ได้มีประชากรที่ได้อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือย่างถาวรประมาณ4ล้านคน สำหรับขั้วโลกใต้นั้น เนื่องจากว่าได้มีอากาศที่หนาวเย็นสุดโหดและยากต่อการดำรงชีวิตมันจึงไม่มีกลุ่มคนชนพื้นเมืองใดๆที่จะเข้ามาอยู่อาศัยเลย นอกจากนักวิทยาศษสตร์ประมาณ1,000-1,5000คนที่ได้ประจำการที่อยู่ในฐานปฏิบัติการเพื่อการวิจัยทั่วทั้งทวีปและดูแลนักท่องเที่ยวที่ได้เข้ามาท่องเที่ยว

ในช่วงฤดูร้อนเท่านั้น สำหรับสัตว์พื้นถิ่นในขั้วโลกเหนือมันก็ได้เป็นสถานที่ที่ได้มีสัตว์นานาชนิดอย่างเช่น กวางเรนเดียร์วัวมัสค์กระต่ายอาร์กติกสุนัขจิ้งจอกอาร์กติกและหมีขั้วโลกการที่ขั้วโลกเหนือนั้นได้มีสัตว์นานาชนิดได้อาศัยอยู่ เนื่องมาจากทวีปอาร์กติกได้มีพื้นที่ที่มันเป็นส่วนหนึ่งของทวีปยุโรปทวีออเมริกาเหนือและทวีปเอเชีย

สำหรับสัตว์ต่างๆเหล่านี้มันจะอพยพมาจากทางตอนใต้ของขั้วโลกเหนือในช่วงฤดูหนาวและพวกมันก็จะอพยพเข้ามาในช่วงฤดูร้อน สำหรับขั้วโลกใต้นั้นมันก็ได้มีสัตว์ที่ได้เข้ามาอาศัยอยู่เป็นจำนวนน้อยมากซึ่งมันก็ได้เป็นที่อยู่ของแมลงเจ้าถิ่น

ซึ่งมันได้เป็นแมลงที่ไม่มีปีกขนาดเล็กที่มีความสามารถเก็บรักษาความอบอุ่นเอาไว้ในร่างกายได้นอกจากนี้มันก็ยังได้มีสัตว์อื่นๆอีกหลากหลายชนิดอย่างเช่นแมวน้ำและเพนกวินสุดน่ารักนัั่นเองสำหรับสภาพภูมิกาศถึงแม้ว่าขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้จะมีสภาพอากาศที่หนาวเย็นอย่างสุดขั้วแต่อันที่จริงแล้วสภาพอากาศของขั้วโลกใต้มีความหนาวกว่าขั้วโลกเหนือมาก

ซึ่งสาเหตุนั้นมันได้มาจากพื้นของขั้วโลกเหนือนั้นมันได้เป็นน้ำแข็งซึ่งมันก็ได้แข็งตัวมาจากน้ำทะเลที่มันได้มีความหนาของน้ำแข็งไม่มากนักและน้ำทะเลก็มีอุณหภูมิที่อุ่นกว่าสภาพอากาศและความอบอุ่นจากน้ำทะเลนั่นเอง

มันได้ถูกส่งเข้ามาทางน้ำแข็งมันจึงทำให้อุณหภูมิของขั่วโลกเหนือเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณลบ43องศาเซลล์เซียนถึงลบ26องศาเซลล์เซียนในขณะที่ขั้วโลกใต้ก็ได้ชื่อว่าที่เป็นดินแดนที่มีากาศหนาวมากที่สุดของโลก

 

สนับสนุนโดย  ติดต่อ bk8

ตำนานของวัดโพธิ์ท่าเตียนที่กรุงเทพมหานคร

ตำนานนั้นมีเรื่องว่า  มียักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์ทั้งสองเป็นเพื่อนที่สนิทกันเป็นอย่างมากและมีอยู่วันหนึ่งว่าการวาดทั้งสองคนนั้นคุยเล่นกันถึงอำนาจของตนเองและหลังจากนั้นหลังจากที่คุยกันได้ของตัวเองก็เปลี่ยนเป็นเรื่องทะเลาะกันสองคนคุยกันไปก็ทะเลาะกันไปทะเลาะกันมาจนสุดท้าย

ก็คิดที่จะทำสงครามกันทั้งสองนั้นทำสงครามกันจนพื้นที่ส่วนใหญ่ในโลกมนุษย์นั้นเสียหายไปเป็นอย่างมากแต่ทั้งสองก็ยังไม่หยุดและพยายามที่จะฆ่าฟันกันต่อไปสุดท้ายพระอินทร์เมื่อเห็นว่ายากทั้งสองต่างพากันอาละวาดยกใหญ่พระอินทร์

จึงได้ลงมาจากสวรรค์และได้สั่งให้ยักษ์วัดแจ้งยักษ์วัดโพธิ์หยุดการทะเลาะกันและหลังจากนั้นจึงเสร็จให้เรายักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์กลายเป็นหินกลายเป็นรูปปั้นและเศษกลับไปให้ไปยืนเฝ้าที่หน้าวัดของแต่ละตนซึ่งว่ากันว่าคาถาที่องค์พระอินทร์นั้นได้ราคาถายังยืนอยู่จนถึงปัจจุบันอย่างที่เราเห็นกันว่ายักษ์วัดแจ้งรายละเอียดจะมายืนอยู่ที่หน้าวัด 

ตำนานที่ 2  คือว่ากันว่าอยากทั้งสองนั้นเป็นเพื่อนที่รักกันมากเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดเลยแต่มีอยู่วันหนึ่งที่ยักษ์วัดโพธิ์ไม่มีตังค์เพิ่งได้ไปขอตังค์กับยักษ์วัดแจ้งด้วยความที่เป็นเพื่อนสนิทกันยักษ์วัดแจ้งคุณให้เงินจำนวนหนึ่งกับยักษ์วัดโพธิ์หลังจากนั้นผ่านไป 1 ปียักษ์วัดแจ้งต้องการที่จะนำเงินที่เคยให้ยืมไปนั้นคืน

แต่ยังโทรกลับบอกว่าไม่ได้ยืมเงินเลยอย่ามามั่วยักษ์วัดแจ้งโมโหมากที่ยักษ์วัดโพธิ์เบี่ยงบ่ายในการคืนเงินแต่ก็รอต่อไปอีกปีหนึ่ง 2ปีผ่านไปยักษ์วัดแจ้งก็มาทวงอีกว่าโทรก็บอกว่าจำได้แล้วแต่ยังไม่มีเงินรออีกสักปีนึงนะยักษ์วัดแจ้งก็ยังรออีกสุดท้ายแล้วแจ้งก็ไม่ได้รับของสักทีจนวันต่อมาของปีที่ 3 ยักษ์วัดแจ้งได้ไปหาเรื่องกับยักษ์วัดโพธิ์ยักษ์วัดโพธิ์ก็บอกว่าตนไม่ได้ยืมเงินจริงๆทั้ง 2 โกรธกันหนักมาก

และเริ่มที่จะทำร้ายกันทั้งสองพยายามที่จะฆ่ากันแล้วว่ากันว่าแม้พระอินทร์จะลงมาห้ามแต่ก็ไม่ได้ผลหลังจากนั้นพระอินทร์จึงได้บินไปหายักษ์วัดพระแก้วและสั่งให้ยักษ์วัดพระแก้วไปหยุดการทำร้ายร่างกายและศึกสงครามระหว่างยักษ์วัดแจ้งกับยักษ์วัดโพธิ์

หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากพระอินทร์ยักษ์วัดพระแก้วรีบเดินทางไปที่นั่นทันทีพร้อมกับสั่งให้ยักษ์ทั้ง 2 หยุด ด้วยความเกรงกลัวในอำนาจของยักษ์วัดพระแก้วที่มีร้านใหญ่มหึมามากกว่าตนและสามารถที่จะทำร้ายตนได้ในทีเดียว

ดังนั้นเราอยากทั้งสองจึงหยุด และหลังจากนั้นวัดพระแก้วเป็นเสกให้ยักษ์ทั้งสองตนกลายเป็นรูปปั้นตลอดไปและเคลื่อนย้ายรูปปั้นยักษ์ทั้งสองให้ไปทำหน้าที่เฝ้าวัดของแต่ละตนตลอดไปและทำการเสกให้เราต้นไม้กลับไปอยู่เหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่พบว่ามีจุดหนึ่งที่พื้นเคยเป็นพื้นปกติแต่ตอนนี้กลายเป็นพื้น ที่โล่งเตียนซึ่งไม่สามารถที่จะแก้ไขอะไรได้เลยสุดท้ายจึงจำใจต้องกลับวัดไปโดยที่ไม่ได้แก้ไขพื้นที่ที่โล่งเตียนตรงนั้นซึ่งหลังจากนั้นชาวบ้านได้ไปเห็นพื้นที่โล่งเตียนแหล่งนำเข้าและได้ตั้งชื่อพื้นที่แถวนั้นและวัดแห่งนั้นเรียกรวมกันว่าวัดโพธิ์ท่าเตียนนั่นเองค่ะ

 

สนับสนุนโดย  ทางเข้าbk8

ประวัติหลวงพ่อโสธร 

สำหรับหลวงพ่อโสธร ท่านเป็นพระพุทธรูปที่คนทั้งประเทศให้การเคารพนับถือ ยิ่งโดยเฉพาะชาวเมืองฉะเชิงเทราแล้วละก็ถือว่าท่านเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองเป็นพระประจำจังหวัดฉะเชิงเทราเลยก็ว่าได้ ซึ่งวันนี้เราจะมาบอกเล่าที่มาขององค์หลวงพ่อโสธรอย่างคร่าวคร่าวให้ทราบกันค่ะ

  ว่ากันว่า องค์หลวงพ่อโสธรนั้น มีประวัติเก่าแก่มายาวนานมาก โดยมีเรื่องเล่ามาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย โดยเรื่องเล่ามีอยู่ว่าในตอนนั้นมีชาวบ้านเห็นพระพุทธรูปลอยน้ำมาด้วยกัน 3 องค์ ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าพระพุทธรูปทั้งสามองค์นั้นเป็นพี่น้องกัน ซึ่งในตอนแรกนั้นพระพุทธรูปสั่งสามองค์ลอยน้ำตามกันมา

เมื่อชาวบ้านเห็นต่างก็พากันเอาเชือกขนาดใหญ่ไปมัดกับองค์พระไว้แล้วพยายามจะดึงองค์พระขึ้นมาบนฝั่ง แต่เกิดสิ่งอัศจรรย์ใจว่า มีการเกิดกระแสน้ำวน เกิดขึ้นในจังหวะทีพยายามดึงองค์พระทำให้องค์พระพุทธรูปทั้งสามองค์จมน้ำหายไป หลังจากนั้นก็มาพบองค์พระพุทธรูปลอยมาที่แม่น้ำบางปะกง ซึ่งองค์พระแต่ละองค์ต่างก็ลอยแยกกันไป

องค์หนึ่งลอยไปทางบางพลี  ซึ่งปัจจุบันคือหลวงพ่อโต อีกองค์ลอยไปทางบ้านแหลมจังหวัดสมุทรสงคราม ปัจจุบันคือ หลวงพ่อวัดบ้านแหลม และองค์สุดท้ายลอยมาที่แม่น้ำบางปะกง ซึ่งก็คือหลวงพ่อโสธรนั่นเอง

        ตามเรื่องเล่ากล่าวว่าหลวงพ่อโสธรลอยมาติดอยู่ริมตลิ่งที่หน้าวัดเสาธงทอน หรือปัจจุบันชาวบ้านเรียกวัดนี้กันว่าวัดหลวงพ่อโสธรนั่นเอง  ในตอนแรกที่เห็นองค์พระลอยอยู่ชาวบ้านพยายามนำเชือกมาดึงขึ้นแต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถดึงองค์พระขึ้นมาได้ จึงได้มีการไปอัญเชิญพระอาจารย์ชื่อดังที่เก่งเรื่องเวทมนต์คาถา มาทำพิธีเชิญองค์หลวงพ่อโสธรขึ้นมาจากน้ำ

ซึ่งก็เป็นผลสำเร็จและชาวบ้านได้อัญเชิญหลวงพ่อโสธรเข้าไปประดิษฐานเอาไว้ในโบสถ์ หลังจากนั้นชาวบ้านต่างก็พากันมากราบไหว้ขอพรกันเป็นจำนวนมากและที่สร้างปาฎิหารย์ ที่ ทำให้องค์หลวงพ่อโสธรมีชื่อเสียงโด่งดังมากก็เพราะว่ามีเหตุการณ์อยู่ครั้งหนึ่งซึ่งในตอนนี้เป็นช่วงที่มีการระบาดของโรคไข้ทรพิษ ซึ่งมีครอบครัวหนึ่งติดไข้ทรพิษกันทั้งครอบครัว

พวกเขาได้นำดอกไม้ธูปเทียนมากราบไหว้ขอพร และขอให้หายจากอาการของไข้ทรพิษ หลังจากขอพรเสร็จครอบครัวนี้ได้นำดอกไม้แห้งและหยุดน้ำตาเทียน มาต้มน้ำแล้วดื่ม หลังจากนั้นไม่นานทั้งครอบครัวนั้นก็หายจากอาการของไข้ทรพิษ

จึงทำให้ทุกคนมากราบไหว้ขอพร บนบานศาลกล่าวให้องค์หลวงพ่อโสธรช่วย แต่ที่ห้ามขอเพราะหลวงพ่อจะไม่ให้ก็คือ ห้ามขอไม่ไปเป็นทหาร เพราะท่านอยากให้ลูกหลานท่านเป็นทหาร ดังนั้นหากใครมาขอจะได้เป็นทหารทันที

ใครเป็นคนพบเห็น ซีอุย ฆ่าศพเด็กคนสุดท้าย

เหยื่อรายที่ 7 รายสุดท้าย เด็กชาย สมบุญ บุญยกาญจน์ ในท้ายที่สุดแล้ว ซีอุย ก็ไม่อาจที่จะหนีพ้นผลกรรมที่เขานั้นได้ก่อขึ้นเอาไว้เป็นไปได้หลังจากที่ ซีอุย ได้ลงมือที่สังหารเหยื่อรายสุดท้ายในวันที่ 27 เดือนมกมราคม พศ2501

ขณะที่ซีอุยทำงานขุดดินปลูกผักอยู่ในสวนเด็กชาย สมบุญ บุญยกาญจน์บุตรชายของนายนาวากับนางละมูลบุญยกาญจน์ ซึ่งเด็กมักจะมากับคุณพ่อเพื่อที่จะแวะซื้อผักที่ไร้ที่เป็นนายจ้างของ ซีอุย อยู่เป็นประจำและในบางครั้งนายนาวาเองก็มักที่จะใช้ลูกชายมาซื้อผักแทนเพียงลำพังซึ่งซีอุยก็ดูเหมือนว่าเขาจะคอยหาโอกาสอยู่หลายครั้งและครั้งนี้เมื่อได้โอกาสซีอุยไม่รอช้าจัดการใช้มีดแทงเข้าไปที่คอหอยของเด็กชายผู้เคราะห์ร้ายอย่างชำนาน

ก่อนที่จะใช้มีดพับกรีดหน้งอกควักเอาตับและหัวใจออกมาเหมือนเช่นเคยแต่คราวนี้เหยื่อของซีอุยเป็นลูกชายของคนที่รู้จักและสนิทสนมกับเจ้านายอีกทั้งต้องรู้ว่าลูกชายของตัวเองหายไปไหนซีอุยจึงจำเป็นต้นทำลายหลักฐานให้สิ้นซากในขณะที่นายนาวาผู้เป็นพ่อของเด็กเคราะห์ร้ายก็ได้ผิดสังเกตที่ลูกชายนั้นได้หายไปนานอย่างผิดปกติ

จึงได้ชวนเพื่อนบ้านช่วยกันออกตามหากระทั่งเมื่อมาถึงไร้และด้วยความบังเอิญพ่อของเด็กเคราะห์ร้ายและชาวบ้านได้พากันเดินตรงไปยังสถานที่ ซึ่ง ซีอุยกำลังเผาทำลายศพของเด็กชายสมบุญพอดีและเห็น ซีอุย กำลังเผาอะไรบางอย่างจึงได้เดินเข้าไปหาเพื่อจะถามว่าเห็นลูกชายของตนหรือไม่แต่เมื่อเดินเข้าไปไกล้กองไฟนายนาวาสังเกตุเห็นขาของบุตรชายโผ่งลอดกองไม้ที่ใช้สำหรับเผาออกมาจึงรีบไปเอาเสาไม้ออกและแล้วพวกเขาก็ได้พบศพเด็กชายสมบุญนอนตายอยู่ตรงนั้นในลักษณะถูกเผาไปแล้ว

บางส่วนเมื่อเห็นดังนั้นนายนาวาและชาวบ้านจึงเข้ารุมประชาทัณฑ์ซีอุยจากนั้นก็จับตัวซีอุยมัดเอาไว้กับเสาบ่อน้ำซึ่งอยู่ไกล้กันก่อนจะแจ้งตำรวจในเวลาต่อมาและเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปตรวจสอบที่พักของซีอุยก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบกับตับและหัวใจของเด็กชายสมบุญซ่อนอยู่ในตู้กับข้าวหลังจากการสอบสวนซีอุยได้ให้การรับคำสารภาพเรื่องทั้งหมดต่อมาซีอุยได้ถูกนำตัวขึ้นศาลโดยการสือบพยานและสอบปากคำทำให้ทราบว่าแท้จริงแล้วซีอุยคือคนร้ายคนเดียวกันกับที่ลงมือสังหารโหดเด็กๆรวม6ศพตามสถานที่ต่างๆนั่นเอง

โดยซีอุยรับสารภาพทุกอย่างออกมาโดยไม่มีการปฏิเสธข้อกล่าวใดๆเลยจนในท้ายที่สุดศาลได้ตัดสินประหารชีวิตและเมื่อซีอุยได้รู้ผลการพิจารณาโทษในครั้งนั้นซีอุยก็ได้เป็นลมล้มลงกับพื้นไปเลยและในวันที่17เดือนกันยายน พศ2502 ได้ปิดฉากประหารชีวิต  ซีอุย

ยอดเขาที่สูงที่สุดที่ไม่มีใครสามารถขึ้นไปพิชิตมันได้

เราลองมาดูยอดเขาที่มีความสูงเป็นอันดับสองของโลกที่มีชื่อว่าK2 ณ ยอดเขาสูงแห่งนี้ถือได้ว่าไปได้ยากกว่ายอดเขาเอเวอเรสต์ซะอีกและจากสถิติก็ได้พบว่ามีคนที่สามารถขึ้นไปยังจุดสูงสุดของยอดเขาไปเพียงแค่300คนเท่านั้น

ขณะที่มีผู้คนที่จะต้องมาจบชีวิตลงในที่แห่งนี้ถึง77ด้วยกันและมันหมายความว่ามีโอกาสที่หนึ่งในห้าคนที่จะต้องเดินทางไปยังยอดเขาแห่งนี้ก็จะต้องเสียชีวิตลงนอกจากนี้ยังไม่มีใครที่จะสามารถขึ้นไปยังยอดเขา K2 ในฤดูหนาวได้อีกด้วย

ณ ยอกเขา K2 ได้มีชื่อเล่นว่า The Savage Mountain หรือแปลกว่า ยอดเขาอำมหิต เนื่องจากว่าการปีนขึ้นไปสู่ยอดเขานี้มากยากและยังเสี่ยงต่อการเสียชีวิตอีกด้วยเรียกได้ว่าในการไปพิชิตบนยอดเขา K2 ถือเป็นหนึ่งในสถานที่มันไปได้ยากมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกกันเลยทีเดียวเราลองมาดูที่ภูเขาในเทือกเขาหิมาลัย

อีกหนึ่งลูกกันต่อภูเขาแห่งนี้มีชื่อว่า Annapurna อันนะปุรณะ ซึ่งจะถือได้ว่ามันมีภูเขาที่มีเส้นทางในการที่จะขึ้นไปยังข้างบนยอดเขาอันตรายมากๆและยังเป็นภูเขาที่ได้มีความสูงเป็นอันดับ10ของโลกเลยทีเดียวและตั้งแต่ในอดีตจนมาถึงในปัจจุบันได้มีผู้ที่สามารถขึ้นไปพิชิตยอดเขาแห่งนี้ได้เพียง191คนเท่านั้นแต่ก็ยังมีผู้ที่เสียชีวิตจากการที่จะพยายามที่จะไปให้ถึงในที่จุดสูงสุดของภูเขาแห่งนี้ถึงประมาณ61คนด้วยกัน

ซึ่งจะคิดเป็นอัตราส่วนในการเสียชีวิตสูงถึงประมาณ1ต่อ4คน ซึ่งก็หมายถึงในทุกๆ4คนที่กำลังจะพยายามที่จะขึ้นไปยังบนยอดเขาและจะมีผู้ที่สังเวยชีวิตให้กับภูเขาแห่งนี้จำนวน1คน ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นอัตราส่วนที่มีสูงมากดังนั้นต้องบอกได้เลยว่ามันเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คนสามารถที่จะไปถึงยากมากที่สุดในโลกอีกหนึ่งที่เช่นกันแต่เพื่อนจะทราบกันหรือไม่ว่ายังมียอดเขาอื่นที่ในปัจจุบันยังไม่มีคนสามารถไปพิชิตมันได้เลย

และยอดเขาที่ว่านั้นก็คือGangkhar Puensum กังคาพูนซัม ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงมากที่สุดที่ไม่มีใครจะสามารถที่จะขึ้นไปพิชิตมันได้มันมีความสูงประมาณ7570เมตร ซึ่งจะไม่มีใครที่จะสามารถขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของยอดเขานี้ได้และจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนจะไปอยู่ที่จุดนี้เป็นระยะเวลานานภูเขาแห่งนี้ได้ตั้งอย่ในประเทศภูฏานมันได้ถูกห้ามไม่ให้นักปีนเขาขึ้นไปเนื่องจากว่ามันเป็นภูเขาที่ได้รับการเคารพจากคนในพื้นที่รวมทั้งความเชื่อด้านศาสนา

บุคคลที่คุณได้ยินชื่อและความสามารถของเขาแล้วคุณจะกลัวทันที

คุณเคยหรือไม่ในเวลาที่เราจะพบเจอใครสักคนนั้นแต่ตัวเราเองก็ได้เกิดความรู้สึกว่าคุณไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเหมือนอย่างกับเราที่ได้พบกับเครื่องจักรกลเหล่าสังหารที่มันสามารถที่จะฆ่าคุณได้ตลอดเวลาโดยที่ตัวคุณเองนั้นยังไม่ได้ทันที่จะกระพริบตาด้วยซ้ำและวันนี้เราก็จะพาทุกคนไปดูเหล่าผู้คนที่มีความแข็งแกร่งรวดเร็วและยังเท่สุดๆกับบุคคลที่คุณไม่ควรจะเข้าไปยุ่งด้วย

Meena Raghavan 

คุณลองทำหัวให้โล่งๆและคิดถึงภาพคุณหญิงแก่อายุประมาณ78ปีดูส่วสนมากพวกเธอเหล่านี้อาจจะเป็นคุณย่าหรือไม่ก็เป็นคุณยายที่ชอบเลี้ยงหลานๆอยู่ที่บ้านดูทีวีเย็บปักถักร้อยและก็ชอบบ่นถึงเร่องนั่นเรื่องนี่อยู่บ่อยๆแต่ว่าคุณหญิงคนนี้คือ มีนา Raghavan และแน่นอนว่าเธอนั้นไม่ใช่คุณยายธรรมดาๆอย่างที่พวกคุณนั้นคิดกันในวันนี้เธอได้เป็นคนที่อาวุโสมากที่สุดในโลก

ที่ได้ฝึกสอนวิชาพละคายัคตู่ ซึ่งได้เป็นการต่อสู้แบบโบราณจากทางตอนใต้ของ อินเดีย Raghavan นั้นก็ได้เริ่มฝึกซ้อมตั้งแต่อายุเพียง7ขวบและถึงแม้ว่าจะมีข้อห้ามไม่ให้ผู้หญิงแต่งงานแล้วนั้นฝึกศิลปะการต่อสู้นี้แต่เธอก็ยังคงฝึกต่อไปเรื่อยๆจนถึงทุกวันนี้หญิงก่คนนี้นั้นได้กลายมาเป็นผู้ที่เชียวชาญทางด้านศิลปะการต่อสู้โดยเธอก้ได้เปิดโรงเรียนสำหรับทำการสอนทั้งเด็กผู้หญิงเด็กผู้ชายชายหนุ่ม และ หญิงสาวอีกด้วย 

Giga Uguru

สำหรับ Giga Uguruผู้ที่เป็นนักสู้ผู้ที่มีมากฝีมือและยังมีความแข็งแกร่งและรวดเร็วจนดูเห็นว่าจะไม่มีใครที่สามารถล้มเขาได้เขายังได้เคยฝึกซ้อมกีฬาต่างๆมามากมายแต่ตั้งที่เขานั้นยังเป็นเด็กเขาได้เริ่มฝึกเทวันโดตั้งแต่เขาอายุได้เพียง4ขวบเท่านั้นซึ่งก็ถือว่าเริ่มไว้มากๆจนทำให้อดสงสัยไม่ได้เลยว่าทำไมเด็กตัวเล็กแค่นั้นถึงจะมาชื่นชอบกีฬาได้โดยเขาก้ได้ฝึกซ้อมตั้งแต่นั้นมาเลยทีเดียวแต่นั้นนอนว่าเค้าไม่ได้กำกัดตัวเองอยู่แค่ในศาสตร์

การต่อสู้เพียงศษสตร์เดียวซึ่งในตอนที่เขานั้นได้อายุเพียงแค่10ขวบ Giga ก็ได้เริ่มฝึกการต่อยมวยต่อด้วยคาราเต้คาสมาทกล้าศิลปะการต่อสู้มือเปล่าของทหารอิสราเอลนั่นเองหลังจากที่เขานั้นได้เชียวชาญศาสตร์ทั้งหมดนี้แล้ว Giga เองก็ยังไม่ได้หยุดแต่เพียงแค่นั้นแต่เขาก็ยังได้เพิ่มความสามารถในการพาดโผงเข้าไปในการฝึกซ้อมอีกด้วยและมันไม่ได้แค่การติวแบบธรรมดาโดยทั่วไปแต่เป็นตัวสตั้นของจริงแต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีใครที่จะเชื่อความสามารถของ Gigaพวกเขาคิดว่าเทคนิคของเขาใช้ไม่ได้ผมในการต่อสู้จริงๆ

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  แทงบอลออนไลน์2020

ประวัติศาลเจ้าแม่งูจงอางที่พระราม 2

เชื่อว่าสำหรับนักเสี่ยงโชคและคอหวยย่อมต้องรู้จักศาลเจ้าแม่งูจงอางกันเป็นอย่างดี

เพราะที่นี่ผู้คนที่ชอบหาเลขเด็ดนิยมที่จะมาหาเลขที่นี่กันเป็นจำนนวนมากเพื่อนำเลขไปซื้อหวย  โดยศาลเจ้าแม่งูจงอางมีประวัติยาวนายมานานเกินว่า 30 ปีมาแล้ว เริ่มตั้งแต่ถนนพระราม 2 มีแค่รถสองเลนวิ่งสวนกันไปมา จนตอนนี้ถนนพระราม 2 มีการปรับปรุงก่อสร้างกลายเป็นถนน 14 เลนไปแล้ว จนถนนพระราม 2 แห่งนี้ได้รับฉายานามว่า ถนนเจ็ดชั่วโคตร

           ย้อนลอยตำนานศาลเจ้าแม่งูจงอาง ไปในสมัยที่มีการขยายถนนพระราม 2 จากสองเลนกลายเป็นสี่เลน ในตอนนั้นขณะที่คนงานก่อสร้างกำลังทำงานมาจนถึงบริเวณหลักกิโลเมตรที่หก มีอยู่วันหนึ่งในช่วงพักเที่ยงคนงานได้นอนหลับและได้ฝันว่า มีเจ้าแม่งูจงอางท้องแก่ ได้เข้ามาบอกว่าตอนนี้ตนเองกำลังจะใกล้คลอดแล้ว

ขอให้คนงานช่วยหยุดก่อสร้างประมาณสัก  7 วันเพื่อให้เจ้าแม่งูจงออกได้คลอดลูกก่อนแล้วจะพาลูกย้ายไปอยู่ที่อื่น ซึ่งเมื่อคนงานคนดังกล่าวตื่นขึ้นมาก็นำเรื่องความฝันนี้ไปเล่าให้กับหัวหน้าฟัง แต่หัวหน้าคนงานไม่เชื่อและยังคงสั่งให้ทำงานต่อไป และก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้เพราะในระหว่างที่มีการทำถนนกันอยู่นั้น คนงานที่ทำหน้าที่เกลี่ยดินได้ถอยรถไปทับรังของงูจงอางซึ่งข้างในรังนั้น มีลูกงูอยู่เต็มไปหมด แล้วก็มีลูกงูตายเป็นจำนวนมากจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ซึ่งพอคนงานเลิกงานกลับบ้านไปกำลังถอยรถเข้าบ้านก็เกิดอุบัติเหตุไปถอยรถทับคนในครอบครัวตัวเอง

จนเสียชีวิต และต่อมาตรงบริเวณที่เป็นรังของงูจงอาง ก็มักจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน จนชาวบ้านต้องอัญเชิญพราหมณ์มาทำพิธีเพื่อสื่อสารกับวิญาณจนทำให้รู้ว่า เจ้าแม่งูจงอางโกรธแค้นที่คนงานไปขับรถทับลูกของท่านตายทั้งที่ท่านได้มาขอร้องแล้ว ชาวบ้านจึงได้รวมตัวกันช่วยกันตั้งศาลให้กับเจ้าแม่งูจงอางเพื่อเป็นการขอขมาต่อเจ้าแม่

และก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นทำให้ศาลเจ้าแม่เป็นทีเลื่องลือ นั่นก็คือ ศาลเดิมที่ชาวบ้านสร้างขึ้นมาเพื่อขอขมาเจ้าแม่นั้นเป็นศาลไม้เล็กๆ แต่ก็มีผู้คนแวะเวียนกันมากราบไหว้เจ้าแม่กันไม่ขาดสาย แต่อยู่มาวันหนึ่งพื้นที่บริเวณศาลของเจ้าแม่ถูกไฟไหม้ เนื่องจากผู้คนพากันมากราบไหว้กันมากและมีการจุดธูปกันตลอดเวลาทำให้ธูปดับไม่ทันประกอบกับลมพัดแรงทำให้เกิดเปลวไฟและไฟได้ลามไหม้ป่าบริเวณศาลเจ้าแม่

แต่เมื่อดับไฟกันเสร็จแล้วปรากฏว่าศาลเจ้าแม่งูจงอางไม่มีร่องรอยของไฟไหม้เลย ทำให้ชาวบ้านยิ่งเคารพนับถือกันมาก โดยหลังจากนั้นก็มีคนถวายทีดินนำมาสร้างศาลให้เจ้าแม่งูจงอางใหม่ และอัญเชิญเจ้าแม่งูจงอางไปอยู่ใหม่ นับแต่นั้นผู้คนก็เดินทางไปกราบไหว้ขอหวยกันเป็นจำนวนมากจนถึงปัจจุบัน

 

สนับสนุนโดย  entaplay

ประวัติหลวงปู่แหวน

หลวงปู่แหวนตอนอายุห้าขวบแม่ได้เสียชีวิตก่อนตายได้ขอร้องให้หลวงปู่แหวนบวชเป็นพระให้และได้ขอร้องให้บวชโดยไม่ต้องสึก ออกมาเป็นฆารวาสอีกเลย อยากให้บวชไปตลอดชีวิตซึ่งตอนนั้นหลวงปูแหวนก็รับปากแม่ว่าจะบวชให้และจะไม่สึกและเมื่อแม่ตายหลวงปู่แหวนก็ได้ย้ายไปอยู่กับยาย

พอหลวงปูแหวนไปอยู่กับยายได้ไม่นาน  ยายก็ฝันหลังจากตื่นมาจากความฝันยายก็ขอร้องให้ลูกปู่แหวนบวชและขอร้องไม่ให้สึกอยากให้บวชเป็นพระไปตลอดชีวิต ซึ่งหลวงปูแหวนก็รับปาก ยายจึงได้จัดงานบวชให้หลวงปู่แหวนกับน้าของหลวงปู่แหวน

ซึ่งตอนนั้นหลวงปู่แหวนอายุได้ 9 ขวบและหลังจากบวชได้เพียงแค่สองเดือน เณรน้าก็เสียชีวิตเพราะป่วย อยู่มาวันหนึ่งในขณะที่หลวงปู่แหวนอายุได้ 14 ปี พระอาจารย์อ้วนซึ่งเป็นอาของหลวงปู่แหวนไปฝากไว้กับพระอาจารย์สิงห์ เพื่อให้ช่วยสอนหลักธรรมศาสนา โดยในตอนนี้หลวงปู่แหวนต้องย้ายไปอยู่ที่วัดสร้างทอง

ซึ่งหลวงปู่แหวนจะเน้นการวิปัสสนาและท่านจะไม่ค่อยเล่นและเป็นพระที่พูดน้อยจะชอบมองพิจารณาธรรมชาติ พระอาจารย์สิงห์สอนแนวทางการวิปัสสนากรรมฐานและสอนด้านไสยเวทย์ โดยแนะนำให้เอามาช่วยเหลือชาวบ้านเมื่อชาวบ้านเดือดร้อน และหลวงปู่แหวนก็เรียนรู้จนสามารถนำความรู้ไปช่วยเหลือญาติโยมได้ 

และท่านยังได้รับการไว้วางใจจากพระอาจารย์สิงห์ให้คอยช่วยรดน้ำมนต์ให้กับชาวบ้านบ่อยบ่อยแต่หลวงปู่แหวนไม่ค่อยชอบ ท่านชอบนั่งวิปัสสนามากกว่า จนเมื่ออายุครบบวชเป็นพระได้เจ้าอาวาสท่านก็บวชให้และหลังจากนั้นไม่นานพระอาจารย์อ้วนก็มารับตัวกลับไปจำพรรษาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย วัดบ้านเกิด และเมื่อมาจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งนี้ท่านจะไปนั่งกรรมฐานอยู่ที่บริเวณใต้ต้นไม้ ไม่ยอมนอนในกุฎิวัดเพราะท่านมีใจฝักใฝ่ที่จะนั่งวิปัสสนาอย่างแรงกล้าไม่อยากคลุกคลีกับทางโลก

แต่ชาวบ้านก็ชอบมาคุยด้วยทำให้ท่านตัดสินใจจะออกธุดงนับตั้งแต่นั้นหลวงปู่แหวนก็ออกไปปฏิบัติธรรมเดินธุดง ในป่าเขา อาศัยอยู่ในถ้ำ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกอีกเลย ท่านจะเดินทางธุดงไปเรื่อยเรื่อย ค่ำไหนนอนนั่นและจะมีชาวบ้านคอยนำอาหารมาบิณฑบาตท่านอยู่เป็นประจำ โดยส่วนใหญ่ท่านมักจะอยู่ธุดงในจังหวัดของภาคเหนือ 

         นี่เป็นเพียงแค่ประวัติการบวชเรียนของหลวงปู่แหวน ประวัติเต็มของทั้งหลังจากบวชเรียนมีทั้งการการปราบมารและปราบภูตผีปีศาจเต็มไปหมดเพราะได้มีการเรียนวิชาเวทย์มาแล้ว ซึ่งจะมีการนำให้บอกเล่ากันในครั้งต่อไปเมื่อมีโอกาส

 

สนับสนุนโดย  rb88

ประวัติศาสตร์สัญลักษณ์และรูปทับหลังที่หายไป

อาคารสถาปัตยกรรมในยุคนี้มีรูปแบบศิลปะแบบนครวัดตอนต้นราวกลางพุทธศตวรรษที่17แผนผังอาคารเน่นแนวเส้นตรงมุงสู่ปราสาทประทานประกอบด้วยบนไดต้นทางชลารูปกากบาททางดำเนิดสู่ปราสาทสุดปลายทางเดินคือสพานนาคช่วงที่1เชื่อมต่อกับบนไดขึ้นปราสาทซึ่งทำชานพักอยู่เป็นระยะ5ชั้นสุดบนไดเป็นชลากว้างสู่สพานนาคราชในช่วงที่2ผ่านเข้าสู่ซุ้มประตูระเบียงด้านนอกด้านทิศตะวันออก

ต่อจากนั้นจึงผ่านเข้าสู่ระเบียงคดล้อมเป็นกำแพงชั้นในภายในระเบียงมีปราสาทประทานเป็นที่ประดิษฐานรูปเคราพหลักของศาสตร์สถานสันนิษฐานว่าได้แก่ศิวลึงค์ประดิษฐานอยู่บนฐานยูณีอันเป็นสัญลักษณ์พลังอำนาจของพระศิวะปัจจุบันยังมีร่องรับน้ำสงฆ์ต่อลงมาสู่ปรากฏให้เห็นอยู่ปราสาทประทานมีส่วนประกอบลวดลายประดับละเอียดงดงามทุกส่วน

โดยเฉพาะภาพปติมากรรมเล่าเรื่องคําภีร์ทางศาสนาที่หน้าบันและทับหลังเช่นภาพรูปพระศิวะนาคราชเป็นภาพพระศิวะทรงฟ้อนรำอยู่บนแท่นภาพปู่มามเหศวรเป็นภาพพระศิวะและพระนางอุมาประทับนั่งบนหลังโคนนทิภาพเล่าเรื่องอวตารของพระนารายณ์และพระวิษณุเช่นเรื่องรามาวตารตอนพระรามเดิงดงตอนพระรามและพระลักษมณ์รก วิราชตอนเท้าลาดรกนางสีดาภาพตอนสุครีพรบนารีภาพตอนพระรามยกทัพเป็นต้น

ภาพปติมากรรมชิ้นเอกที่สวยงามและยังเป็นที่รูปจักกันดีคือทับหลังรูปพระวิษณุบรรทมอยู่เหนือนาคราชท่ามกลาง เกษียน สมุดหรือที่เรียกกันว่าทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ทับหลังชิ้นนี้สลักเป็นรูปพระวิษณุบรรทมอยู่เหนือนาคราชที่แผ่เศรียทั้ง5เพื่อปกป้องพระวิษณุทอดตัวอยู่เนื้อมังกรที่พระนาพีมีก้านบัวพุดขึ้นก้ารบนโดยมีรูปพระพรหมประทับอยู่เหนื่อดอกบัวมีรูปสัตว์ต่างๆเช่นนกแก้วลิงเป็นองค์ประกอบอยู่ในภาพที่งามแปลกตาอยู่ไม่น้อยทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ชิ้นนี้

ครั้งหนึ่งได้สูญหายไปจากปราสาทเขาพนมรุ้งจนถึงพุทธศักราช2508

กรมศิลปากรได้ตรวจค้นร้านโบราณวัตถุก้ได้พบชิ้นส่วนของทับหลังคือมาได้แต่ในอีกส่วนหนึ่งยังหาไม่พบต่อมาในพุทธศักราช2515ศาสตราจารย์หมเจ้าสุประดิษฐ์ ดิษฐ์สกุลอดีตคณบดีนักโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากรทรงแจ้งต่ออธิบดีกรมศิลปากรว่าทับหลังดังกล่าวได้ไปจัดแสดงที่สถาบันศิลปะแห่งเมืองชิคาโกประเทศสหรัฐอเมริกาทรงได้แนะนำให้กรมศิลปากรดำเนินการติดต่อเพื่อที่จะขอรับคืนกรมศิลปากรได้ติดต่อทวงคืนเบียงงต้นผ่านกระทรวงการต่างประเทศ

แต่ก็ไม่ประสบความสําเร็จแต่ก็ยังไม่ได้ระความพยายามยังคงติดตามดำเนินการทวงคืนอยู่เรื่อยมาจนกระทั้งถึงพุทธศักราช2530ศาสตราจารย์หมเจ้าสุประดิษฐ์ ดิษฐ์สกุลทรงแนะนำให้รื้อฟื้นการทวงทับหลังอีกครั้งครั้งนี้คณะกรรมการบริหารสถาบันศิลปะในชิคาโกได้พิจารณาคำร้องข้อของรัฐบาลไทยในที่สุดก็ยินดีส่งทับหลังคืนโดยขอแลกกับศิลปกรรมชิ้นใดชิ้นหนึ่ง

ไหว้ขอพร ขอลูกที่ศาลเจ้าพ่อเสือ

ในกรุงเทพมหานคร มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนต่างให้ความเคารพ มากมายหลายที่และหนึ่งในนั้นคือ ศาลเจ้าพ่อเสือที่ไม่ว่าจะเป็นคนจีน  หรือคนไทยเชื้อสายจีน หรือแม้แต่คนไทยแท้ ต่างก็พากันมากราบไหว้ขอพร ที่ศาลเจ้าพ่อเสือแห่งนี้ไม่ขาดสาย

นอกจากจะขอให้ประสบกับความสำเร็จ ความร่ำรวยแล้ว ยังมุ่งเน้นมาขอให้มีลูกกันด้วย โดยที่ศาลเจ้าพ่อเสือแห่งนี้มีชื่อเสียงมากเกี่ยวกับการมาขอให้มีลูก ซึ่งใครที่เดินทางมาขอลูกที่นี่มักจะสมหวังทุกรายไป

ศาลเจ้าพ่อเสือเป็นศาลเจ้าจีน ที่มีอายุเก่าแก่มายาวนาน 

และมีชื่อเสียงโด่งดังมาก ผู้คนจะเดินทางมาไหว้ขอพรกันทุกวันทำให้ที่นี่จะแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ศาลแห่งนี้จะอยู่ติดริมถนน ด้านข้างจะมีที่สำหรับให้จอดรถ และเมื่อเดินมาทางด้านหน้าทางเข้าจะมีร้านขายของไหว้มากมายหลายร้าน ซึ่งทางร้านจะแนะนำว่าหากต้องการไหว้ขอพร

ควรไหว้อะไรบ้างหรือ หากต้องการไหว้ขอลูกต้องไหว้อะไรบ้าง และหากเราซื้อสินค้าของที่ร้านเขา เขาจะมีบริการส่งพนักงานเข้ามาแนะนำวิธีการไหว้ให้ตั้งแต่ต้นจบพิธีเลยทีเดียว แต่เดิมที่ศาลเจ้าแห่งนี้จะสามารถจุดธูปด้านในได้

แต่เนื่องจากมีคนมาไหว้เยอะทำให้ภายในมีควันลอยคุ้งเต็มศาลเจ้า ต่อมาทางเจ้าหน้าที่จึงได้ขอให้มีการยกเลิกการจุดธูปให้ทำเพียงนำธูปมาเสียบไว้ที่กระถางแทนเท่านั้นซึ่งเป็นการตอบรับ นโยบายลดมลพิษทางอากาศที่กำลังมีปัญหาอยู่ในขณะนี้ด้วย  เมื่อเราเดินเข้าไปภายในบริเวณศาลด้านหน้าจะมีประตูทางเข้าไปด้านใน

ซึ่งตรงจุดนี้เราจะต้องไหว้เป็นอันดับแรก และที่ตรงนี้เรายังสามารถเติมน้ำมันตะเกียงได้ด้วยและเมือเข้าทางด้านใน เราจะเห็นเทพเจ้าจีน ที่มีมากมายหลายองค์ ไม่ว่าจะเป็น เหี่ยงเทียงเสี่ยงตี่  ซึ่งองค์เทพองค์นี้คือองค์ประธานของศาลเจ้าแห่งนี้ และต่อมาจะเห็น เจ้าพ่อเสือ   เจ้าพ่อเห้งเจีย องค์ไฉ่ซิงเอี้ย เจ้าพ่อกวนอู และยังมีเจ้าแม่ทับทิมอีกด้วย

ว่ากันว่าศาลเจ้าพ่อเสือแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่สาม ซึ่งเดิมที่ศาลเจ้าพ่อเสือมีการสร้างอยู่ตรงริมถนนบำรุงเมืองแต่มามีการขยายถนนเพิ่ม ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ห้า

ทำให้พระองค์ทรงให้ย้ายศาลเจ้าพ่อเสือมาที่ถนนตะนาว และได้พระราชทานที่ดินตรงทางสามแพร่ง จะใกล้กับวัดมหรรณราม เพื่อนำมาศาลเจ้าพ่อเสือ และคงอยู่ที่นี่มาจนถึงปัจจุบัน