สัตว์ประหลาดที่ยังไม่มีคำอธิบายใดๆเกี่ยวกับสายพันธุ์ของมัน

โรเพ็น

เมื่อในปี2004 เดวิด เวทเซล ได้มุ่งหน้าเข้าไปยังปาปัวนิวกินี เพื่อที่จะตามหาไดโนเสาร์ที่มันอาจจะยังได้มีชีวิตอยู่ในยุคปัจจุบัน ซึ่งยังได้มีความเกี่ยวข้องกับแสงที่มันสามารถบินได้ที่ไม่มีการอธิบายอะไรไว้เลยในหนังสือ ของนักกีฏวิทยาชาวอังกฤษผู้หนึ่ง เมื่อในปี1935

ซึ่งก็ได้เชื่อว่าได้มีความเกี่ยวข้องของแสงกับโรเพ็นและยังงว่ากันว่ายังได่มีการจับภาพของสิ่งที่มีชีวิตที่มีลักษณะเหมือน เทอร์โรซอร์ เอาไว้ได้ ทั้งนี้ก็ยังได้มีอีกหายคนได้เชื่อว่าภาพบันทึกเหล่านี้มันอาจจะเป็นเพียงแค่นกเท่านั้น ซึ่งทางด้านชาวพื้นเมืองก็ยังได้อธิบายลักษณะของ โรเพ็น เอาไว้ว่ามันได้มีลักษณะเหมือนค้างคาว

ซึ่งพวกมันชอบออกหากินในช่วงเวลากลางคืนและมันชอบมีนิสัยที่ดุร้าย ศึ่งจะมีฟันที่แหลมคมและหางที่เหมือนกับแซ่ นอกจากนี้โรเพ็นยังได้มีลักษณะเฉพาะที่มันสามารถเรืองแสงออกมาได้จึงได้ทำให้มันสามารถล่อและได้เข้าจู่โจมปลาในขณะที่มันกำลังบินอยู่เหนือมหาสมุทรในช่วงตอนเวลากลางคืน

งูบู

เมื่อประมาณปี2000ก็ได้มีกลุ่มนักวิจัยที่กำลังพยายามศึกษเพื่อที่จะตามรอยของ โมแคเล อึมแบมเบ ที่ได้เป็นไดโนเสาร์จำพวก ซอโรพอดที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักนัก แต่พวกเขากลับได้พบกับปริศนาใหม่ๆ ซึ่งในขณะที่พวกเขาได้ทำการสัมภาษณ์นักล่าของชนเผ่าปิ๊กมี่ที่อยู่ในป่าลึกของประเทศแคเมอรูน

จึงทำให้ บิล กิบบอนซ์ และ เดวิด เวทเซล ได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับ งูบู ซึ่งได้เป็นสัตว์จำพวกแรดที่ได้มีขนาดใหญ่ที่มีเขาอย่างน้อยหกเขาที่กำลงต่อสู้กับช้างเพื่อแย่งชิงอาณาเขตที่อยู่ริมบริเวณแม่น้ำคองโกซึ่งเรได้เชื่อว่าสัตว์พื้นเมืองที่พวกเขาได้พูดถึงนั้น

มันคือไดโดเสาร์พันธุ์ สไตแรคาซอรัส นอกจากคนพื้นเมืองแล้วก็แทบจะไม่มีคนภายนอกได้พบกับสัตว์ปริศนาชนิดนี้ได้เลย โดยในปีประมาณ1919ก็ได้มีข่าวออกมาหน้าหนังสือพิมพ์ว่าข่าวเกี่ยวกับนักล่าชาวตะวันตกคนหนึ่งที่เขาได้ถูกจู่โจมโดยมีสัตว์ขนาดใหญ่ที่มีเขาหลายอัน

ริเวอร์ ดีโนซ์

ตั้งแต่ที่ได้มีการาบุกรุกเข้าไปในพื้นที่อเมริกาตะวันตกก็ได้มีภาพถ่านและเรื่องราวที่ได้มีการเล่าต่อกันมาเกี่ยวกับสัตว์ที่มีขนาดเล็กที่เรียกว่า ริเวอร์ ดีโนซ์ สิ่งมีชีวิตชนิดนี้เป็นเหมือน เวโลซีแรปปเตอร์เวอร์ชั่นขนาดเล็กที่มีขนน้อย

โดยมีการบันทึกเอาไว้จากฟอสซิลที่ถูกขุดค้นพบ ซึ่งก็ได้มีการกล่าวเอาไว้ว่า ริเวอร์ ดีโนซ์ อาจเป็นเพียงกิ้งก่าคาเลอด์ ที่มีลักษณะพิเศษคือการวิ่้งทางตรงด้วยขาหลังทั้งสองข้างแต่ถึงอย่างไรก็ตามยังไม่มีการบันทึกหรือคำอธิบายใดๆที่มีความเกี่ยวข้องกับสายพันธุ์ของมันในลักษณะที่มีกรงเล็บที่น่ากลัวฟันของมันที่แหลมคมและยังรวมไปถึงพฤติกรรมของมันที่มีความดุร้ายแบบสัตว์กินเนื้อเลย

 

สนับสนุนโดย  next88

ตำนานบั้งไฟพญานาค 

   เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับตำนานความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องพญานาคกันเป็นอย่างดียิ่งกลับคนที่นิยมเล่นหวยแล้วก็พญานาคถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์กินข้าวหวยหลายคนมักจะไปขอหวยกัน

โดยจะไปขอหวยพญานาคที่คำชะโนดกันเป็นส่วนมากตำนานความเชื่อของพญานาคมีมานานหลายชั่วอายุคนและคนส่วนใหญ่ที่เชื่อเกี่ยวกับเรื่องพญานาคมักจะเป็นคนที่อยู่ในแถบของภาคอีสานซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพญานาคโดยมีการเชื่อกันว่าพญานาคอาศัยอยู่ในลุ่มแม่น้ำโขงโดยทุกๆปีประชาชนต่างก็จะไปรอดูพญานาคพ่นไฟขึ้นมาเหนือน้ำ

ซึ่งเราเรียกว่างานบั้งไฟพญานาคซึ่งเทศกาลนี้จะมีการจัดขึ้นทุกๆปีและจะมีประชาชนจากทั่วทุกสารทิศรวมถึงนักท่องเที่ยวจากชาวต่างชาติเดินทางไปชมความอัศจรรย์นี้กันเป็นจำนวนมากและทุกๆปีก็ไม่เคยทำให้ผิดหวังเพราะว่าในทุกๆปีเรามักจะเห็นดวงไฟขึ้นมาเหนือน้ำของลุ่มแม่น้ำโขงซึ่งไม่สามารถหาคำตอบได้เหมือนกันว่าดวงไฟเหล่านั้นขึ้นมาจากแม่น้ำโขงได้อย่างไร โดยปกติแล้วการจัดงานบุญบั้งไฟพญานาคนั้นจะมีการจัดทุกวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11

ซึ่งจะตรงกับวันออกพรรษาโดยจังหวัดทางแถบภาคอีสานจะมีการจัดงานการละเล่นต่างๆแล้วตั้งแต่ช่วงหัวค่ำเป็นต้นไปประชาชนก็จะพากันไปนั่งอยู่ริมแม่น้ำโขงเพื่อรอดูรูปไฟที่จะค้นขึ้นจากแม่น้ำขึ้นมาซึ่งหลายคนชื่อว่าลูกใครเหล่านั้นคือพญานาคกำลังพ่นไฟขึ้นมา 

        สำหรับชาวบ้านที่ไปบั้งพญานาคนั้น ทางไปเพราะว่ามีความศรัทธาและเคารพนับถือในตัวพญานาคจึงต้องการไปดูปาฏิหาริย์ที่พญานาคมีการพ่นไฟขึ้นมาการทำงานประวัติความเชื่อมาแต่สมัยโบราณเชื่อกันว่ามีพญานาคอยู่ตนหนึ่งต้องการที่จะบวชเป็นพระแต่ไม่สามารถที่จะบวชได้เนื่องจากว่าไม่ใช่มนุษย์โดยตรง พญานาคตอนนี้มีนิสัยดุร้ายเป็นอย่างมาก

แต่พระพุทธเจ้าไม่ทราบเรื่องก็ได้มาโปรดสั่งสอนพญานาค จนพญานาคสำนึกตัวได้และตั้งตัวเป็นพุทธมามกะ เพราะเริ่มใสศรัทธาในองค์พระพุทธเจ้าเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปยังสวรรค์เพื่อไปเยี่ยมพระมารดาและอยู่ที่นั่นเป็นระยะเวลา 1 พรรษา แล้วถึงเวลาที่พระพุทธเจ้าจะกลับลงมายังโลกมนุษย์เพื่อพญานาคตนนั้น

ดูเข้าจึงได้มีการพ่นไฟเพื่อทำการฉลองการกลับมาของพระพุทธเจ้าจึงเกิดเป็นบั้งไฟพญานาคนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมาตามตำนานความเชื่อของคนโบราณและเมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ของทุกปีชาวบ้านก็จะมารวมตัวกันที่นี่เพื่อมาดูที่พญานาคจะมีการจุดเพื่อฉลองให้กับพระพุทธเจ้า

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  next88