การแสดงศิลปะลิเก

        ลิเกนับว่าเป็นการแสดงศิลปะวัฒนธรรมไทยในรูปแบบหนึ่งเป็นรูปแบบของการแสดงออกเป็นเรื่องราวซึ่งปัจจุบันนี้ยังคงมีคณะลิเกอยู่หลายคณะแต่ก็เหลือน้อยลงทุกทีแล้วเนื่องจากคนในปัจจุบันไม่ค่อยนิยมดูลิเกกันมากนักเพราะหันมาชมภาพยนตร์และซีรีส์มากกว่าที่จะดูลิเก

ซึ่งเป็นการแสดงของคน การแสดงลิเกนั้นจะต้องอาศัยคนที่มีความรู้ความสามารถสามารถร้องลิเกได้รวมถึงสามารถร่ายรำได้อย่างสวยงามการแสดงลิเกนั้นไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถเล่นได้จะต้องมีความเข้าใจและได้รับการฝึกอบรมการเรียนลิเกการร้องรำลิเกเป็นอย่างดีแล้ว

ถึงจะสามารถออกมาแสดงให้ผู้คนนั้นได้ชมได้สำหรับการแสดงลิเกนั้นนับได้ว่าเป็นศิลปะพื้นบ้านอย่างหนึ่งซึ่งมีหลายจังหวัดในการที่จะร้องรำลิเกและแต่ละจังหวัดนั้นก็จะมีลีลาการแสดงลิเกที่แตกต่างกันออกไปอย่างภาคกลางก็จะเป็นลิเกอีกในรูปแบบหนึ่งหรือภาคใต้

ก็จะแสดงลิเกอีกในรูปแบบหนึ่งสำหรับการแสดงลิเกนั้นจะต้องมีทั้งดูวงดนตรีซึ่งเป็นวงมโหรีขนาดใหญ่เอาไว้เล่นในขณะที่นักแสดงลิเกนั้นขึ้นไปแสดงบนเวทีและมีฉากสำคัญสำคัญที่ต้องเน้นการร่ายรำก็จะมีการแสดงดนตรีขึ้นมาด้วย

และการที่จะมีวงลิเกได้นั้นจะต้องมีคณะคนแสดงเป็นจำนวนมากอย่างต่ำก็ต้องไม่ต่ำกว่า 20 คนขึ้นไปเพราะการแสดงแต่ละบทบาทนั้นจะต้องอาศัยคนหลายคนไม่ว่าจะเป็นในช่วงของการลงแขกการที่มีนักแสดงแต่งกายออกมาแสดงให้คนดูหรือจะต้องมีการใช้คนเสวนาคล้ายๆกับการที่เป็นพิธีกรบนเวทีนั่นเองสำหรับการแสดงลิเกนั้นก็จะต้องมีการจัดเตรียมเวทีขนาดใหญ่

อาไว้ให้นักแสดงขึ้นไปเล่นด้านบนซึ่งเมื่อก่อนผู้คนมักจะพากันไปชมลิเกหลังจากที่เลิกการทำงานแล้วในช่วงหัวค่ำก็จะเดินทางไปชมลิเกซึ่งส่วนใหญ่ก็จะจัดขึ้นภายในวัด  แต่ต่อมาวิวัฒนาการของโลกนั้นก้าวไกลขึ้นผู้คนจึงนิยมการไปชมลิเกน้อยลงและหันมาชมทีวีกันแทนทำให้ลิเกนั้นเริ่มได้รับความนิยมน้อยลงและกำลังจะถดถอยไปตามกาลเวลา

ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างมากเพราะลิเกนั้นก็ถือว่าเป็นมรดกอย่างหนึ่งของเมืองไทยเช่นเดียวกันเลยว่ากันว่านั้นลิเกเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้วเป็นการแสดงครั้งแรกให้กับเจ้าขุนมูลนายและพระมหากษัตริย์ได้ชมดังนั้นเราจึงควรศึกษาวัฒนธรรมการจัดแสดงลิเกเอาไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้ถึงศิลปะการแสดงของคนในสมัยโบราณว่ามีการแสดงกันในรูปแบบไหนสวยงามอย่างไรนั่นเอง หากใครเคยดูการแสดงลิเก จะเห็นได้ว่า เราจะได้เห็นการรำ การร้องเพลง และการแสดงถ่ายทอดจากนักแสดงออกมาได้อย่างสวยงามและอ่อนช้อยมากทีเดียว

 

สนับสนุนโดย.    bk8

Doppelgangerหรือร่างแยกของตัวเอง

ถ้าหากว่าใครได้เห็นDoppelgangerหรือร่างแยกของตัวเองแล้วคนๆนั้นจะถึงฆาตในไม่ช้า

เวลาที่เราได้พูดถึงความเชื่อหรือรางบอกเหตุหรือรางร้ายหรือลางสังหรณ์มันมีความเชื่อในเรื่องนี้อยู่ทั่วโลก ซึ่งในแต่ละที่นั้นมันก็จะมีความเชื่อที่มีความแตกต่างกันออกไป โดยในประเทศเราจะมีความเชื่อว่า ถ้าหากว่าเรานอนฝันเห็นคนๆนึงมาหาหรือเห็นคนๆนั้นเกิดอุบัติเหตุ

อยู่ในความฝันของเราหรือในบางทีมีข้าวของชิ้นสำคัญของของบุคคลคนนั้นหรือรูปภาพคนๆนั้นหล่นแตกเราก็จะมีความรู้สึกแล้วก็มีความเชื่อว่าคนๆนั้นกำลังจะมีลางร้ายหรือมีเหตุร้ายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งในต่างประเทศเขาก็มีอยู่เช่นกัน โดยต่างประเทศก็ได้เรียกสิ่งๆนี้

ว่าDoppelgangerซึ่งในคำว่าDoppelgangerมันมาจากภาษาอังกฤษอยู่สองคำคือคำว่าDoppelกับgangerแล้วถ้าหากนำเอาสองคำนี้มารวมกันก็คือDoppelganger,แฝดปีศาจนั้นเองโดยคำว่าDoppelgangerที่เราได้พูดถึงตรงนี้มันได้เป็นคำที่ได้เอาไว้ใช้เรียกบุคคลคนหนึ่ง

ที่ปรากฎตัวตนออกมาเพิ่มอีกหนึ่งตัวตนโดยที่ยังมีตัวตนบุคคลคนนั้นอยู่บนโลกแต่ตัวตนที่ได้มีเพิ่มขึ้นมาตรงนี้มันไม่ใช่ตัวตนที่เกิดขึ้นมาจากการที่แสงแดดลงกระทบลงมาที่ร่างกายและเกิดเป็นเงาขึ้นมาแต่มันได้เป็นบุคคลคนนั้นจริงๆ

ซึ่งตัวตนที่ได้เกิดขึ้นมาตรงนั้นมันได้มีข้อที่แตกต่างกับร่างจริงอยู่หนึ่งอย่างนั่นก็คือDoppelgangerหรือร่างที่มันได้เกิดขึ้นมาตรงนั้นจะไม่พูดและไม่สือสารอะไรกับใครเลยและ ถ้าหากตัวตนที่ได้มีเพิ่มขึ้นมาตรงนั้นไปอยู่ตรงหน้ากระจกหรือส่งที่มันสามารถที่จะสะท้อนภาภพได้ภาพที่ออกมามันจะไม่มีเงาหรือตัวตนคนนั้นอยู่ในกระจกนั้นเอง

ซึ่งเหตุการณ์ที่ได้พบเจอDoppelgangerหรือตัวตนอีกตัวตนขึ้นมาตรงนี้ในอดีตที่ผ่านมาก็ได้มีการค้นพบเจอและได้มีการบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในปี1905 ได้มีการนับประชุมกันระหว่างสมาชิกวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักร

โดยการประชุมในครั้งนั้นก็ได้มีสมาชิกคนหนึ่งที่มีชื่อว่าGilbert Parkerได้เข้าร่วมการอภิปรายในครั้งนั้นและเป็นคนที่จดเช็คชื่อว่าใครจะมาเข้าประชุมใครลา ซึ่งในการประชุมในครั้งนั้นได้สมาชิกวุฒิสภาคนหนึ่งที่มีชื่อว่าSir Frederick Carne Rasch

เขาได้มีอาการป่วยแล้วเขาได้ส่งหนังสือแจ้งขอลามากับทางGilbert ParkerและGilbert Parkerเองเขาก็ได้รับทราบเรื่องและคิดว่าเขาคงไม่สามารถที่จะเข้ามาทำงานได้

 

สนับสนุนโดย  bk8

ฝึกภาษาจากเพลงที่ชอบ

ภาษาเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน เพราะการสื่อสารด้วยภาษาที่สองจำเป็นไม่ว่าจะทั้งการเรียนหรือการทำงานก็ต้องมีการสื่อสารด้วยภาษาที่สองทั้งนั้นและคนที่ได้ภาษาที่สองนอกจากภาษาของตัวเองแล้วนั้นก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ได้เปรียบมากกว่าคนอื่นๆ

ที่สามารถสื่อสารได้เพียงภาษาเดียว และเมื่อได้ภาษาที่สองแล้วการต่อยอดไปยังภาษาที่3และอีกหลายๆภาษาเป็นไปได้ง่ายนั่นเอง ซึ่งการฝึกภาษษนั้นมีด้วยกันหลายแบบหลายวิธีซึ่งวิธีที่จะสามารถฝึกฝนได้อย่างดีก็คือการฝึกฝนและทำในสิ่งที่เป็นชีวิตประจำวันเราหรือฝึกจากสิ่งที่เราชอบนั่นเอง

การที่เราจะฝึกภาษาได้นั้นเราจะต้องมีแรงบันดาลใจเสียก่อน เราต้องต้นพบว่าเรานั้นมีแรงบันดาลใจอะไรและเราจะทำสิ่งเหล่านี้ไปเพื่ออะไรและเมื่อเราหาคำตอบเหล่านี้ให้ตัวเองได้นั้นเราจะมีแรงและกำลังใจที่มากขึ้นในการทำสิ่งๆต่างและการฝึกภาษาก็เช่นเดียวกันเมื่อเราค้นพบแรงบันดาลใจนอกจากเราจะมีกำลังใจและความตั้งใจที่ล้นเปี่ยมแล้วนั้นความสำเร็จที่เราจะฝึกภาษาได้ในเวลาที่รวดเร็วก็มีความเป็นไปได้สูงด้วยเช่นกัน

มีหลากหลายวิธีที่จะสามารถฝึกภาษาได้และมีหลายๆคนที่มีการฝึกภาษาจากการฟังเพลง โดยส่วนใหญ่คนที่ฝึกภาษาจากการฟังเพลงนั้นจะมีการฟังเพลงหรือได้ยินเพลงที่เป็นภาษาอื่นๆมาไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ จีน เกาหลี ญี่ปุ่นและอื่นอีกหลากหลายภาษา ทำให้เกิดการอยากที่จะร้องเพลงขึ้นมา ทำให้เกิดการฝึกฝนขึ้นโดยการฝึกฝนภาษาจากเพลงนั้นสามารถทำ

โดยการเรีบนรู้คำศัพท์และรูปแบบประโยคในเพลงนั้นๆก่อน จากนั้นนำมาแปลเป็นภาษาไทยแค่นี้เราก็จะรู้ได้แล้วว่าความหมายในเพลงนั้นๆมีความหมายว่าอย่างไร และเราอาจจะเขียนซับไทยในเพลงนั้นเพื่อร้องตาม เมื่อเรามีการแปลและร้องตามเพลงได้

ก็จะทำให้เรารู้ความหมายในคำศัพท์นั้นๆในเพลงนั่นเองแต่โดยส่วนใหญ่การฟังเพลงสามารถฝึกภาษาได้จริงแต่ต้องมีความตั้งใจและอาจจะต้องมีการเรียนรู้ในภาษาเหล่านั้นขั้นพื้นฐานก่อน เพื่อที่เราจะสามารถอ่านและออกเสียงได้อย่างถูกต้องนั่นเอง

การฟังเพลงมีประโยชน์อย่างมากนอกจากจะได้ทักษะด้านภาษาแล้วเรายังได้ทักษาะในการร้องเพลงเพิ่มขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นการฝึกฝนเป็นสิ่งท่สำคัญที่สุด เมื่อเราชอบสิ่งใดและนำสิ่งเหล่านั้นต่อยอดเพื่อเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเราอย่างสูงสุด

การเริ่มต้นเป็นสิ่งที่ยากแต่เมื่อเราเริ่มต้นแล้วเราจะเข้าใจและมีการเรียนรู้จนเราสามารถเก่งและเป็นสิ่งที่สามารถใช้งานเจนิงในอนาคตอย่างแน่นอน

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย  bk8

เรื่องเล่าสยองขวัญเพื่อนกลับมาที่ห้องหลังจากตายไปแล้ว 

ฉันมีเพื่อนอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งเราทุกคนเป็นผู้ชายมีเพียงแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้หญิงแต่ก็เป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันตอนนั้นเพื่อนของเราคนหนึ่งรอเขาใช้ชื่อว่ากุ้งก็แล้วกันตอนนั้นกุ้งออกไปซื้อของให้กับห้องของเราซื้อของให้เพื่อนๆเช่นพวกขนมของกินมันจากนั้นกุ้งก็ออกไปนานมาก

ซึ่งเขาก็ไม่กลับมาสักทีผ่านไป 2 ชั่วโมงก็ยังไม่กลับมาทุกคนเลยเลือกที่จะขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามหากุ้งกันออกไปได้สักพักก็พบศพของกุ้งนอนตายอยู่ตรงทางโค้งซึ่งหลังจากนั้นก็ไปแจ้งตำรวจและเราก็ได้ การเผาศพและทำพิธีกรรมกับทางครอบครัวของกุ้งเรียบร้อยแล้ว

ซึ่งหลังจากนั้น 1 อาทิตย์ผ่านไปพวกเราก็ยังไม่หายกลัวเรื่องราวเพราะว่าภาพนั้นเป็นภาพที่ติดตามพวกเรามากพวกเราก็นอนไม่หลับวันนี้พวกเราเลยคิดจะมานั่งล้อมวงคุยกัน ซึ่งตอนนั้นทุกคนก็คุยกันคุยกันไปคุยกันมาอยู่ๆก็จะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นจังหวะจังหวะซึ่งทุกคนก็พากันหยุดคุยกันทีหลังจากนั้นก็รอสักพักนึงแต่ก็ยังมีเสียงเคาะอยู่แต่ไม่มีใครเลยพี่จะลุกขึ้นไปเปิดประตูเอา

แต่นั่งเงียบกันอยู่อย่างนั้นจะอยู่เสียงเคาะก็หายไปหลังจากนั้นก็มีเสียงเคาะขึ้นมาใหม่อีกครั้งซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของรุ่นพี่ที่ได้เสียชีวิตไปซึ่งเขาร้องว่ามาแล้วมาแล้วเปิดประตูสิซื้อของมาแล้วทุกคนถึงกับแทบช็อคจนแทบจะเป็นลมเนื่องจากเสียงนั้นคือเสียงของรุ่นพี่ทีป ชีวิตไปเมื่อ 1 อาทิตย์ที่แล้วนี่เอง คนในหอนั้นโดนกันหมดเลยเพิ่งมาถึงตาของหอเราเราก็เป็นเหมือนกัน

ได้ยินเสียงเรียกแบบนั้นเช่นเดียวกันเพื่อนเราคนนึงที่เป็นคนที่สนิทที่สุดกับคนที่เสียชีวิตก็บอกว่าจะตายแล้วนะไปเถอะเดี๋ยวฉันทำบุญไปให้ไปสักทีซึ่งหลังจากนั้นก็มีเสียงหมาหอนเสียงดังพร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างทรมานและเสียงก็หายไปซึ่งนั่นทำให้ทุกคนสนใจจะนอนกันไหมล่ะทุกคนในหอพากันตาตื่นไม่หลับเช้าวันต่อมาทุกคนต่างก็ตาเป็นแพนด้าเดินเข้ามาจับกลุ่มคุยกันทั้งหอพูดถึงเรื่องที่เกิด

ซึ่งทุกคนก็รู้ว่ารุ่นพี่นั้นมาคุยกับพวกเขาจริงๆนั่นทำให้มีนักเรียนคนหนึ่งที่เป็นคนที่กลัวผีมากๆถึงกับเข้าโรงพยาบาลจิตเวชเลย หลังจากนั้นทุกๆคืนก็จะมีเสียงคนเคาะประตูในห้องของคนที่เสียชีวิตขยับไปมาเองนะตอนกลางคืนก็มีเสียงอาบน้ำจนสุดท้ายเพื่อนของเราก็ทำการทำบุญครั้งใหญ่ทั้งมหาลัยพากันทำบุญครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาให้กับคนที่เสียชีวิตเพื่อที่เขาจะไม่ได้มาหลอกหลอนอีกและสุดท้ายเรื่องราวก็ค่อยๆเงียบไป

 

สนับสนุนโดย  bk8

ตำนานแม่มด 

    หากพูดถึงคำว่าแม่มดหลายคนมักจะนึกถึงหญิงหญิงแก่สุ่มผ้าคลุมสีดำสามารถมีเวทย์มนต์และมักชอบขี่ไม้กวาดรวมถึงแม่มดจะสามารถเสกคาถาและฝากใครก็ได้ซึ่งมีการแต่งนิทานขึ้นมามากมายเกี่ยวกับแม่มดรวมถึงการนำแม่มดมาสร้างเป็นภาพยนตร์มากมายหลายเรื่อง

แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่าคนส่วนใหญ่แล้วในอดีตมีการเชื่อว่าแม่มดนั้นมีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ของชาวอเมริกันเมื่อ 300 กว่าปีมาแล้วเคยเกิดเหตุการณ์ที่ชาวบ้านคลั่งไคล้เรื่องลัทธิแม่มดเป็นจำนวนมากในบางกลุ่มลักลอบตั้งตนเป็นแม่มดและในขณะที่ชาวบ้านก็ออกตามล่าหาแม่มดเพื่อนำมาจับจุดไฟเผาเพื่อทำลายแม่มดในประวัติศาสตร์ของอเมริกาในช่วงประมาณปี  1692-1693

ได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริการัฐแมสซาซูเสสโดยพบว่าที่ชุมชนแห่งหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้านโดยอยู่มาวันหนึ่งเขาพบว่ามีเด็กหญิงหลายคนในหมู่บ้านมีอาการชักรวมถึงมีการโวยวายและส่งเสียงกรีดร้องและยังพูดภาษาที่ไม่สามารถให้ใครเข้าใจได้ว่าพูดเรื่องอะไรซึ่งอาการของเด็กในหมู่บ้านที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ทั้งบรรดาบาทหลวงรวมถึงคุณหมอที่อยู่ในหมู่บ้านต่างก็รู้สึกกังวลกับอาการของเด็กๆ

แต่เนื่องจากในสมัยก่อนวิวัฒนาการการรักษาและการเข้าใจโลกไม่ได้เก่งกาจเหมือนในปัจจุบันนี้ดังนั้นผู้คนจึงมักเชื่อไปในทางเรื่องเร้นลับมากกว่าจะเชื่อว่าเด็กในหมู่บ้านเกิดอาการป่วยขึ้นพร้อมๆกันเหมือนอย่างที่ปัจจุบันนี้ประเทศไทยก็ยังมีการเกิดสำหรับเด็กนักเรียนที่มีอาการเหมือนกันโวยวายกรีดร้องหรือแม้แต่เป็นลมโดยคุณหมอแผนปัจจุบันก็จะบอกว่าเป็นอาการของโรค ต้องการอุปทานหมู่แต่เหตุการณ์แบบนี้ถ้าเกิดขึ้นในสมัยโบราณชาวบ้านมักจะเชื่อกันว่าเป็นเพราะผู้คนเหล่านั้น ถูกภูตผีปีศาจฝากแจ้งทำร้ายและในเหตุการณ์นั้น

ที่เด็กๆหลายคนในหมู่บ้านของ รัฐแมสซาซูเสสมีอาการโวยวายขึ้นมาพร้อมกันคือการที่เด็กๆเหล่านั้นถูกแม่มดสาปแช่งดังนั้น  ทั้งบาทหลวงน้าหมอรวมถึงชาวบ้านจึงต้องหาแม่มดมาลงโทษให้ได้และเหตุการณ์ในครั้งนั้นชาวบ้านและบาทหลวงก็มั่นใจว่าแม่มดคนดังกล่าวคือหญิงผิวดำที่รับหน้าที่สอนหนังสือให้กับเด็กๆในหมู่บ้านเนื่องจากเด็กๆ

จะมีการคลุกคลีกับหญิงทำการดังกล่าวอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้มาสอนหนังสือให้ เลยว่ากันว่าระหว่างที่หญิงนำคนดังกล่าวสอนหนังสือเด็กเธอก็ใช้เวทมนต์ดำสาปแช่งเด็กๆไปด้วยทีละคนทีละคนดังนั้นเธอจึงถูกชาวบ้านและบาทหลวงจับตัวไปเพื่อทำการทรมานให้ยอมรับสารภาพว่าเธอนั้นเป็นแม่มด

ซึ่งในขณะนั้นหากจับได้ว่าใครเป็นแม่มดโทษสูงสุดก็คือการฆ่าให้ตายด้วยการแขวนคอ ในปัจจุบัน บ้านของผู้พิพากษาที่ชื่อโจนาธานเคยเป็นบ้านของแม่มดในสมัยปี 1692 ที่ยังหลงเหลืออยู่ให้ประชาชนคนปัจจุบันได้เห็น

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  bk8