วิธีการถ่ายภาพกล้องฟิล์มพื้นฐานที่มือใหม่จะต้องรู้

การถ่ายภาพกล้องฟิล์มพื้นฐาน สำหรับคนที่สนใจเกี่ยวกับการถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์มอาจจะยังไม่ทราบถึงปัญหาต่างๆหรืออาจจะไม่มีความรู้ทางด้านเหล่านี้ ซึ่งข้อมูลเบื้องต้นที่คุณควรจะทราบเอาไว้ก็มีไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างคิดนะว่าการถ่ายภาพที่เป็นกล้องฟิล์มมันจะง่าย อันที่จริงเราว่ามันยากกว่าการถ่ายภาพแบบอื่นๆเป็นไหนๆ

โดยในวันนี้เราจะมาพูดเบลิคๆ ก่อนคือต้องมาทำความเข้าใจก่อนนะว่าองค์ประกอบของกล้องฟิล์มนั้นมันมีอะไรบ้างและมันทำงานยังไงแล้วเราควรที่จะใส่ใจเรื่องอะไรบ้าง

อย่างแรกก่อนกล้องเนี่ยจริงๆ แล้วมันมีหลายประเภทมากใช่ไหม ซึ่งเราจะผ่านวิธีเลือกกล้องกันไปก่อนนะเพราะเราจะมาบอกและสอนกันในภายหลัง โดยกล้องฟิล์มทั้งหมดมันจะมีอยู่สามส่วนที่เราจะต้องใส่ใจมันมากๆนั่นก็คือ

1.เลนส์

โดยเลนส์จะเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับเรานะ เพราะมันจะได้ภาพสวยหรือไม่สวย หรือสีเป็นโทนแบบไหน คมชัดอะไรยังไง ระยะมิติของภาพเป็นแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับเลนส์เลย

2.บอดี้

นั่นก็คือบอดี้ของกล้องบางตัวก็อาจจะแบบว่ามีเลนส์มากับตัวกล้องเลย หรือบางอันก็สามารถที่จะถอดได้ โดยตัวกล้องจะมีหน้าที่บังคับกลไกลต่างๆในการถ่ายรูปให้มันเกิดขึ้น ฟิล์มจะอยู่ในตัวกล้องและก็ทำให้เกิดการกดถ่ายภาพได้อะไรต่างๆ โดยเป็นการคอลโทรลหรือพูดง่ายๆว่าเป็นห้องบังคับการ ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับคอลเลคตี้ภาพขนาดนั้น

3.ฟิล์ม

โดยฟิล์มนี้คือส่วนที่เรียกได้ว่าเป็นส่วนที่เราได้ภาพนั่นแหละ เป็นส่วนเก็บภาพถ้าเกิดเปรียบเทียบกับกล้องดิจิตอลมันก็คือส่วนตัวของเซ็นเซอร์ เช่น ฟูเฟลม ไมโคร 4/3 aps-c อะไรพวกนั้นนะ

โดยฟิล์มก็มีหน้าที่อย่างนั้นก็คือเก็บแสงที่มันผ่านจากเลนส์และเข้ามาสู่บอดี้และก็มาสู่ฟิล์ม เก็บไว้พอเราเอาไปล้างก็จะเกิดเป็นภาพ ซึ่งนี่ก็คือสามส่วนใหญ่ๆของกล้องฟิล์ม นั่นก็คือ เลนส์ บอดี้ และก็ฟิล์ม 

ทีนี้เราก็มาดูกันว่าแต่ละส่วนนี้มันทำอย่างไรโดยให้มันได้งานที่สัมพันธ์กัน โดยเลนส์ส่วนที่มันจะสัมพันธ์กันนั่นก็คือรูรับแสงหรือAperture โดยตัวนี้มันทำหน้าที่คือเหมือนม่านตา ให้ลองนึกว่ามีหลี่ตากับเบิ่งตา

ซึ่งหลี่ตาก็คือรูรับแสงเล็กแปลว่ารูรับแสงที่จะได้แคบลงค่าเอฟก็จะเยอะขึ้นเรื่อยๆ โดยมันจะไล่ระดับของมันไปโดยยิ่งเลขมาก็จะยิ่งแคบ และยิ่งแคบเท่าไหร่แสงมันก็จะเข้าได้น้อย แปลว่ามันจะชัดลึก ซึ่งมันเป็นภาพชัดทุกมิติเลยไม่ว่าจะเป็นหน้ากลางหลังมันจะชัดหมด

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  แทงหวยออนไลน์

ตำนานพญาพาน ตำนานการสร้างองค์พระปฐมเจดีย์ 

       ตำนานพญาพาน  เป็นตำนานเก่าแก่ที่มีการเล่าขานกันเอาไว้ซึ่งตำนานนี้เป็นตำนานที่เกิดขึ้นของจังหวัดนครปฐมโดยตำนานนี้มีการกล่าวถึงเจ้าเมืองหนึ่งซึ่งชื่อเมืองศรีวิชัยซึ่งมีการปกครองภายใต้การดูแลของพระยากงโดยพระองค์นั้นมีลูกด้วยกัน 2 คน

และหนึ่งในสองคนนั้นก็คือพระยาพานั่นเองส่วนสาเหตุที่มีการตั้งชื่อว่าพระยาพานนั่นก็เพราะว่าตอนที่พระองค์เกิดนั้นนางรับใช้ได้นำพานมารองรับร่างของพระโอรสตอนที่เกิดใหม่ๆแล้วทำพานไปกระแทกที่บริเวณหน้าผากของพระโอรสจนเป็นแผลทำให้มีการตั้งชื่อตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

      อย่างไรก็ตามในช่วงที่พระยาพานเกิดใหม่ๆนั้นหมอหลวงได้ดูดวงให้กับพญาพานว่าแท้ที่จริงแล้วพญาพาฬนี้เป็นเด็กที่มีบุญญาธิการมาเกิดจะเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้าแต่ว่าจะมีการทำสิ่งที่ไม่ดีหรือที่เรียกว่าจะทำการฆ่าพ่อของตนเอง

ทำให้พระยากงที่ได้รู้เรื่องที่หมอหลวงทำนายนั้นเกิดอาการหวาดกลัวจึงได้ให้ทหารนำพยาบาลซึ่งในขณะนั้นยังเป็นเด็กทารกอยู่ไปฆ่าทิ้งเสีย เมื่อทหารนำพญาพานซึ่งเป็นเด็กทารกเข้าไปในป่าก็เกิดการเห็นใจจึงไม่ได้ฆ่าให้ตายแต่นำไปวางทิ้งไว้แทน

     หลังจากที่ทหารกลับไปแล้วก็มีหญิงชราเป็นหญิงชาวบ้านคนหนึ่งมาพบกับพระยาพานจึงได้เก็บพระยาพานไปและได้มอบพระยาพานให้กับเพื่อนบ้านเนื่องจากว่าเพื่อนบ้านนั้นอยากจะมีลูกแต่ไม่มีลูกสักทีเธอจึงได้รับเลี้ยงพญาพานเป็นลูกและเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจนพยาพานนั้นเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ก็มีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาหลังจากโตขึ้นพระยาพานก็ได้ขอแม่บุญธรรมของตนเองออกไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆจนเดินทางไปถึงเมืองสุโขทัย

       ซึ่งในขณะนั้นเองมีเหตุการณ์ที่มีช้างตกมันกำลังอาละวาดทำลายบ้านเมืองชาวเมืองสุโขทัยต่างก็ได้รับความเดือดร้อนทำให้พระยาพานได้เข้าไปช่วยเหลือด้วยการปราบช้างตกมันเมื่อเจ้าเมืองสุโขทัยเห็นความเก่งกาจสามารถของพญาพานจึงได้ขอรับเลี้ยงพระยาพานมาเป็นบุตรบุญธรรมเพื่อให้ปกครองเมืองหลังจากนั้นก็ได้มีการมอบหมายภารกิจให้ระยะทางไปทำนั่น

ก็คือการสั่งให้พระยาพานเป็นแม่ทัพใหญ่ นำกองกำลังทหารของเมืองสุโขทัยปีจอ เมืองศรีวิชัยซึ่งก็คือเมืองของพ่อของพญาพานนั่นเองแต่ด้วยคนทั้งคู่นั้นไม่รู้ว่าเป็นพ่อลูกกันจึงได้ทำการสู้รบกันและท้ายที่สุดแล้วพญาพานพอได้ฆ่าพญากงจนเสียชีวิต 

      ซึ่งก็ตรงกับตามคำทำนายของหมอหลวงนั่นเอง  อย่างไรก็ตามหลังจากที่ฆ่าพ่อตนเองตายแล้วพญาพาน ถึงได้รู้ความจริงว่าเมืองที่ตนเองมาตีนั้นคือเมืองของพ่อและแม่แต่ใช้ของตนเอง เมื่อเราความจริงจึงได้ถ่ายทอดด้วยการสร้างเจดีย์ขึ้นมาซึ่งในปัจจุบันก็คือองค์พระปฐมเจดีย์นั่นเอง

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย.  aesexy

ตำนานกุหลาบขาวกับกุหลาบแดง

          มี ตำนาน กุหลาบขาวกับกุหลาบแดง เกี่ยวกับเรื่องของดอกกุหลาบให้เราได้รู้กันมากมายหลายตำนานในขณะเดียวกันก็มีตำนานการพูดถึงดอกกุหลาบสีขาวและการพูดถึงดอกกุหลาบสีแดงเกิดขึ้นด้วยโดยหลายคนได้มีข้อสงสัยว่าดอกกุหลาบนั้นแท้ที่จริงแล้วดอกกุหลาบดอกแรกที่เกิดมายังโลกมนุษย์นั้นเป็นสีอะไรกันแน่ซึ่งบางคนก็ระบุว่าดอกกุหลาบดอกแรกของโลกนั้นน่าจะเป็นดอกสีขาวแต่ภายหลังถูกเปลี่ยนมาเป็นดอกสีแดง

          แต่บางคนก็บอกว่าดอกกุหลาบนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นดอกสีแดงมาตั้งแต่เริ่มต้นเพราะตำนานส่วนใหญ่ของการเกิดดอกกุหลาบนั้นจะพูดถึงดอกกุหลาบสีแดงซะเป็นส่วนใหญ่ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูกันว่าตำนานเกี่ยวกับกุหลาบขาวกุหลาบแดงนั้นได้มีการเล่าขานว่าอย่างไรกันบ้าง     

         สำหรับตำนาน  กุหลาบขาวกับกุหลาบแดง แรกนั้นมีการพูดถึง   ดอกกุหลาบว่าแต่เดิมทีนั้นในโลกมนุษย์ของเราดอกกุหลาบเป็นสีขาวแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อมีอยู่วันหนึ่งได้มีนกไนติงเกลหนุ่มตัวหนึ่งได้บินมาเจอดอกกุหลาบสีขาวแล้วมันก็เกิดตกหลุมรักดอกกุหลาบสีขาวดังนั้นด้วยความที่มันรักกุหลาบสีขาวมันจึงได้ใช้ปีกและลำตัวของมันนั้นโอบกอด ดอกกุหลาบสีขาวเอาไว้

           แต่บังเอิญว่าดอกกุหลาบนั้นมีหลานแหลมคงอยู่ที่ก้านดังนั้นก้านของกุหลาบที่มีหนามกุหลาบแหลมคมจึงได้ทิ่มไปที่บริเวณลำตัวของนกไนติงเกลทำให้มีหยดเลือดหยดลงมาและเลือดดังกล่าวนั้นก็หยุดไปที่ดอกกุหลาบจึงทำให้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาดอกกุหลาบที่เคยเป็นสีขาวจึงกลายมาเป็นดอกสีแดงนั่นเอง

           แต่ก็มีบางตำนานที่พูดถึงสีของดอกกุหลาบเช่นเดียวกันถึงแม้ว่าจะบอกว่าดอกกุหลาบสีขาวนั้นเป็นสีแรกที่เกิดขึ้นในโลกแต่ตำนานนี้กับกล่าวว่า แต่เดินที่ดอกกุหลาบเป็นสีขาวนั้นดอกกุหลาบเหล่านี้ถูกปลูกไว้ในสวนอีเดนของเทพเจ้าโดยมีอดัมกับอีฟเขาดูแลอยู่  แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งในขณะที่อีฟกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนดอกไม้นั้นเธอก็ได้เห็นดอกกุหลาบสีขาว  

          ซึ่งแน่นอนว่าดอกกุหลาบสีขาวและมีความสวยงามและมีกลิ่นหอมเป็นอย่างมากจึงได้ก้มลงไปจุมพิศที่ดอกกุหลาบสีขาวดอกนั้น  และเจ้าดอกกุหลาบสีขาวดอกนั้นก็เกิดอาการเขินตั้งแต่ไม่เคยโดนจูบมาก่อนจึงทำให้เขินจนหน้าแดงกลายเป็นเป็นกุหลาบสีแดงนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

           ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละตำนานนั้นก็มีความแตกต่างกันออกไปแต่ส่วนใหญ่ก็มักจะพูดถึงดอกกุหลาบสีขาวเป็นจุดเริ่มต้นของกุหลาบก่อนที่เปลี่ยนมาเป็นดอกกุหลาบสีแดงนั่นเองอย่างไรก็ตามในทางด้านของศาสนาคริสต์นั้นมองว่า ดอกกุหลาบสีแดงคือสัญลักษณ์ของของหยดเลือดของพระเยซูในขณะที่ดอกกุหลาบสีขาวนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ของพระแม่มารีอานั่นเอง

 

สนับสนุนโดย.  หวยออนไลน์บาทละ 1000

เรื่องราวต้นกำเนิด น้ำโซดา

       ต้นกำเนิด น้ำโซดา สำหรับ น้ำโซดานั้น  เป็นเครื่องดื่มที่ใช้ดื่มแทนน้ำเปล่าก็ได้ หรือจะใช้ผสมกับเหล้า ก็ได้เช่นเดียวกัน และในทุกวันนี้ น้ำโซดา ยังมีการนำมาผสมกับน้ำหวาน ทำให้เวลารับประทานแล้วน้ำที่ถูกนำมาผสมกับน้ำโซดานั้น รสชาติอร่อยยิ่งนัก   ปัจจุบัน น้ำโซดา ได้รับความนิยมมากทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ  

         ซึ่งแน่นอนว่ากว่าจะมาเป็น น้ำโซดา ในทุกวันนี้ก็ยังมีตำนานถึงที่มาที่ไปว่าจุดเริ่มต้นเช่นเดียวกันว่ามาจากไหนนั่นเองซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงประวัติความเป็นมาของน้ำโซดาก่อนที่จะมีการนำมาวางขายจนได้รับความนิยมเผยแพร่ไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ 

      สำหรับประวัติของการคิดค้นน้ำโซดานั้น นั้นเรียกได้ว่าในสมัยก่อนนั้นได้มีนักธรณีวิทยา  คนหนึ่งเป็นคนค้นพบนั่นเองซึ่งตอนที่เขาค้นพบนั้นสาเหตุก็เพราะว่าเวลาที่เขาต้องออกสำรวจพวกโบราณสถานต่างๆนั้นบางสถานที่อากาศจะร้อนอบอ้าวทำให้เขานั้นต้องหาน้ำดื่มที่ทำให้ตัวเองนั้นรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเป๋าและรู้สึกกินเข้าไปแล้วเย็นสบายซึ่งแน่นอนว่าน้ำเปล่าไม่สามารถช่วยให้เขารู้สึกเย็นสบายได้นั่น

       ต้นกำเนิด น้ำโซดา  ดังนั้นเขาจึงได้ไปค้นพบแร่ชนิดหนึ่งซึ่งแร่ชนิดนี้เกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติโดยแร่ชนิดนี้มีส่วนผสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ด้วยและเมื่อเขาได้ทดลองกินเขาก็รู้สึกถึงความเอร็ดอร่อยของนำแร่ชนิดนี้เป็นอย่างมากเขาจึงได้มีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับน้ำแร่ชนิดนี้ว่ามีส่วนผสมอะไรและเมื่อรู้ว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นั้นจะสามารถช่วยทำให้เขาเกิดความรู้สึกสดชื่นถ้าได้เอาไปผสมกับน้ำแร่ได้

          ดังนั้นในปีต่อมาเขาจึงได้เริ่มผลิตน้ำขึ้นมาด้วยน้ำดังกล่าวเขาจะเอาไปผสมกับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเองโดยปีแรกของการผลิตนั้นเกิดขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 1767  และนั่นเองคือต้นกำเนิดของเครื่องดื่มที่มีรสซ่าหลังจากนั้นได้มีนักบวชคนหนึ่งซึ่งได้รู้จักกับนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษคนหนึ่งทั้งคู่นั้นได้พยายามคิดค้นหาน้ำดื่มที่มีรสชาติอร่อย

            และในที่สุดคนทั้งคู่นั้นก็พบว่าหากมีการหมักถังเบียร์ลงไปในถังเบียร์นั้นจะมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และส่งผลทำให้เบียร์นั้นมีรสชาติอร่อยและมีต้าซึ่งหลังจากนั้นทั้งสองคนก็ได้ทำการคิดค้นและทดลองอยู่เรื่อยมาจนทำให้ในที่สุดนั้นทั้งสองคนก็เป็นผู้ค้นพบน้ำขึ้นเป็นรายแรกของโลกนั่นเองโดยนักบวชคนที่ค้นพบนางสุภารายแรกของโลกนั้นชื่อว่าโจเซฟ   เพรสลีย์  

           หลังจากที่สามารถคิดค้นน้ำโซดาได้แล้วก็ได้มีการออกมาวางขายและทำให้น้ำโซดานั้นกลายเป็นที่ยอมรับทั่วโลก

 

สนับสนุนโดย.  aecasino

ประวัติของ นินเทนโด(Nintendo) มีที่มาอย่างไร

เริ่มแรกที่ นินเทนโด(Nintendo) เริ่มทำนั้นเริ่มทำมาจาก เกมการด์หรือของเล่น ซึ่งมีธุรกิจอื่นๆอีกเช่น โรงแรมในปีค.ศ.1983 อีกด้วย แต่นินเทนโด(Nintendo)นั้นได้ทำการเปลี่ยนมาทำเกี่ยวกับวีดิโอเกมซึ่งเป็นบริษัทที่มีอายุยาวนานที่สุด

นินเทนโดนั้นได้มีการที่มีชื่อเสียงอย่างมากและมีหลากลาย เช่น มาริโอ โปเกมอล ไฟร์เอมเบลม เมทรอยด์และแอนิมอลซิง ซึ่งทำถูกสร้างขึ้นมาโดยพนักงานของ นินเทนโด(Nintendo) นั้นเอง

ซึ่งเครื่องเกมที่ได้มีการวางขายนั้นได้มีอยู่หลากหลายมากไม่ว่าจะเป็น นินเทโด64(Nintendo 64) วียู(UV) นินเทนโดสวิตช์(Nintendo switch) นินเทนโด DS(Nintendo DS) นินเทนโด 2DS(Nintendo 2DS) นินเทนโด ไลท์ (Nintendo Lite) ซูปเปอร์ฟามิคอม(Super Famicon) และอื่นๆอีกมากมาย

ซึ่งเครื่องเกมแรกที่นินเทนโด(Nintendo) ทำการเริ่มต้นทำนั้นก็คือ Game & Watch ซึ่งทางนินเทนโด(Nintendo) ทำการผลิตออกมาในปี1980 หรือ40ปีที่แล้วที่ได้ทำการจำหน่าย ซึ่งมีรูปแบบการเล่นที่ทำได้ง่าย

นินเทนโด ฟามิคอม(Nintendo famicom) ที่ซึ่งทำการจำหน่ายในปี1983 ซึ่งทางนินเทนโด(Nintendo) นั้นได้ทำการจำหน่ายเครื่องเกมนี้และทำให้เป็นการเปิดตลาดของเครื่องวิดีโอเกมด้วยการที่ว่านินเทนโดนั้นได้ทำเครื่องเกมที่มีสีและเล่นได้ง่าย

เครื่องเกมบอย (GameBoy) ซึ่งเครื่องเกมนี้ได้เป็นการพัฒนามาจากเครื่องเกม Game & Watch นั้นเองและยังสามารถทำการเปลี่ยนเกมไปมาได้ มีภาพที่สวยงามขึ้นและยังมี ระบบการเล่นที่น่าสนใจมากขึ้นอีกด้วย

นินเทนโด ซูเปอร์ แฟมิคอม (Nintendo Super Famicom) เป็นการพัฒนาเครื่อง ฟามิคอม ที่ทำการออกมาจำหน่ายก่อนหน้านี้ ซึ่งเครื่องนี้ได้มีการพัฒนาให้เป็น16 Bit และมีชื่อว่า ซูเปอร์ แฟมิคอม (Super Famicom) ที่มีการทำให้ภาพสวยขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งเกมที่มีใน ฟามิคอม(Famicom) นั้นได้ทำการลงในเครื่องของ ซูเปอร์ แฟมิคอม(Super Famicom) อีกด้วย ซึ่งมีการจำหน่ายในปี1990

นินเทนโด 64 (Nintendo 64) เป็นการที่นินเทนโด(Nintendo) นั้นทำการใช้ตลับ เป็นตัวที่ใช้ในการเล่นอยู่แทนการที่ใช้แผ่นดังนั้นจึงทำให้ นินเทนโด 64 (Nintendo64) เป็นเครื่องเกมที่ประสบความล้มเหลวอีกเครื่องหนึ่ง จำหน่ายในปี1996

นินเทนโด ดีเอส (Nintendo Ds) เป็นเครื่องเล่นเกมพกพาที่ทาง นินเทนโด(Nintendo) นั้นผลิตเป็นเครื่องเล่นเกมพกพาที่มี 2จอ ซึ่งสร้างความแปลกใหม่และมีความสนุกที่หลากหลายเกมอีกด้วย ซึ่งทำให้เกิดความนิยมเป็นอย่างมาก ได้ทำการจำหน่ายในปี2004

นินเทนโด 3ดีเอส (Nintendo 3DS) เป็นการที่นินเทนโด(Nintendo) นั้นได้ทำการ พัฒนาเครื่องเล่นเกมพกพาที่ใช้ระบบ3D ในการเล่นโดยที่ไม่ต้องใช้แว่น จำหน่ายในปี2011

 

ขอบคุณผู้ให้การสนับสนุนโดย.    แทงหวยจับยี่กี

ศิลปะร่วมสมัยและการพัฒนาโครงสร้างของงานต่างๆ 

ศิลปะคือการทำงานรูปแบบต่างๆในยุคปัจจุบันงานศิลปะต่างๆได้ถูกปรับเปลี่ยนตามโครงสร้างของงานหรือแม้แต่จะมีความคิดต่างๆ การทำงานศิลปะหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นการผ่านกระบวนการคิดทางด้านการวางแผนหรือแม้แต่จะเป็นการลงมือทำต่างๆในส่วนต่างๆเหล่านี้เอง

ก็มีการเปลี่ยนแปลงและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องงานประติมากรรมต่างๆทางด้านการทำงานศิลปะได้ถูกเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตามยุคสมัยผู้คนส่วนใหญ่สามารถใช้ในส่วนนี้เองเป็นเครื่องมือในการทำงานและถูกปรับเปลี่ยนโครงสร้างความเป็นอยู่เรื่อยๆ

ในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าโครงข่ายข้อมูลต่างๆหรือแม้แต่โครงสร้างการทำงานต่างๆที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้มีประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลให้อุปกรณ์เราสามารถเข้าถึงรูปแบบทำความคิดหรือความเป็นอยู่ในส่วนต่างๆเหล่านี้ได้ดีมากยิ่งขึ้นอย่างไรก็ตามนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ

ยิ่งที่ในยุคปัจจุบันเราสามารถเข้าถึงโครงข่ายข้อมูลหรือแม้แต่จะเป็นการศึกษาต่างๆที่ถูกปรับเปลี่ยนและถูกพัฒนาโครงข่ายข้อมูลต่างๆให้มีประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตามนี้จึงเป็นบทบาทสำคัญอย่างยิ่งทั้งนี้ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของผู้คนมีการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อ

เพราะในยุคปัจจุบันเราสามารถเรียนรู้รูปแบบต่างๆและถูกปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยโครงข่ายข้อมูลต่างๆหรืองานศิลปะต่างๆได้ถูกพัฒนาและปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่อง โอกาสนำเสนอเรื่องราวต่างๆแม้จะเป็นข้อมูลต่างๆที่มีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมความเป็นอยู่ของผู้คนหรือแม้แต่จะเป็นวัฒนธรรมต่างๆได้ถูกพัฒนาอยู่เสมอตามความต้องการของจิตกร หรือผู้ที่ต้องการผลิตงานต่างๆ

งานศิลปะจึงเป็นสิ่งที่ร่วมสมัยอยู่เสมอผู้คนสามารถเข้าถึงง่ายหรือแม้แต่จะเป็นการพัฒนารูปแบบต่างๆให้ถูกปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ตามนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในปัจจุบันการพัฒนาโครงสร้างของงานศิลปะ

หรือแม้แต่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อมูลต่างๆที่มีการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาอยู่เสมอทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ในยุคปัจจุบันสามารถเรียนรู้รูปแบบในการนำเสนอรูปแบบงานต่างๆในการเปลี่ยนแปลงโครงข่ายข้อมูลเดอะบีชการพัฒนาโครงสร้างการทำงานต่างๆที่มีการเปลี่ยนแปลงในการพัฒนาอยู่เสมออย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันต้องยอมรับว่าการพัฒนาการเรียนรู้งานสินค้าต่างๆ

ที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลานี้ช่วยผู้คนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงโครงข่ายของทางความคิดของผู้คนที่ถูกนำเสนออยู่ตลอดเวลาอย่างไรก็ตามในยุคปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาต่างๆที่มีการเปลี่ยนแปลงและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องนี้

ถูกถ่ายทอดเป็นรูปแบบที่ค่อนข้างมีความสำคัญโดยอยู่ปัจจุบันการพัฒนารูปแบบการทำงานต่างๆที่มีการนำเสนอทางความคิดของผู้คนอยู่นี้ช่วยผู้คนสามารถเรียนรู้และพัฒนาโครงสร้างความเป็นอยู่ทางความคิดของผู้คนได้อย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามที่จะเป็นส่วนสำคัญยิ่งในพยาบาลการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเป็นความต้องการในการทำงานต่างๆที่มีการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนี้สามารถพัฒนาทางด้านความคิดหรือการนำเสนอผลงานตามโครงสร้างของรูปแบบที่จิตรกรมีความต้องการในการนำเสนอออกมา 

 

สนับสนุนโดย    กริลแอร์

การแสดงศิลปะลิเก

        ลิเกนับว่าเป็นการแสดงศิลปะวัฒนธรรมไทยในรูปแบบหนึ่งเป็นรูปแบบของการแสดงออกเป็นเรื่องราวซึ่งปัจจุบันนี้ยังคงมีคณะลิเกอยู่หลายคณะแต่ก็เหลือน้อยลงทุกทีแล้วเนื่องจากคนในปัจจุบันไม่ค่อยนิยมดูลิเกกันมากนักเพราะหันมาชมภาพยนตร์และซีรีส์มากกว่าที่จะดูลิเก

ซึ่งเป็นการแสดงของคน การแสดงลิเกนั้นจะต้องอาศัยคนที่มีความรู้ความสามารถสามารถร้องลิเกได้รวมถึงสามารถร่ายรำได้อย่างสวยงามการแสดงลิเกนั้นไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถเล่นได้จะต้องมีความเข้าใจและได้รับการฝึกอบรมการเรียนลิเกการร้องรำลิเกเป็นอย่างดีแล้ว

ถึงจะสามารถออกมาแสดงให้ผู้คนนั้นได้ชมได้สำหรับการแสดงลิเกนั้นนับได้ว่าเป็นศิลปะพื้นบ้านอย่างหนึ่งซึ่งมีหลายจังหวัดในการที่จะร้องรำลิเกและแต่ละจังหวัดนั้นก็จะมีลีลาการแสดงลิเกที่แตกต่างกันออกไปอย่างภาคกลางก็จะเป็นลิเกอีกในรูปแบบหนึ่งหรือภาคใต้

ก็จะแสดงลิเกอีกในรูปแบบหนึ่งสำหรับการแสดงลิเกนั้นจะต้องมีทั้งดูวงดนตรีซึ่งเป็นวงมโหรีขนาดใหญ่เอาไว้เล่นในขณะที่นักแสดงลิเกนั้นขึ้นไปแสดงบนเวทีและมีฉากสำคัญสำคัญที่ต้องเน้นการร่ายรำก็จะมีการแสดงดนตรีขึ้นมาด้วย

และการที่จะมีวงลิเกได้นั้นจะต้องมีคณะคนแสดงเป็นจำนวนมากอย่างต่ำก็ต้องไม่ต่ำกว่า 20 คนขึ้นไปเพราะการแสดงแต่ละบทบาทนั้นจะต้องอาศัยคนหลายคนไม่ว่าจะเป็นในช่วงของการลงแขกการที่มีนักแสดงแต่งกายออกมาแสดงให้คนดูหรือจะต้องมีการใช้คนเสวนาคล้ายๆกับการที่เป็นพิธีกรบนเวทีนั่นเองสำหรับการแสดงลิเกนั้นก็จะต้องมีการจัดเตรียมเวทีขนาดใหญ่

อาไว้ให้นักแสดงขึ้นไปเล่นด้านบนซึ่งเมื่อก่อนผู้คนมักจะพากันไปชมลิเกหลังจากที่เลิกการทำงานแล้วในช่วงหัวค่ำก็จะเดินทางไปชมลิเกซึ่งส่วนใหญ่ก็จะจัดขึ้นภายในวัด  แต่ต่อมาวิวัฒนาการของโลกนั้นก้าวไกลขึ้นผู้คนจึงนิยมการไปชมลิเกน้อยลงและหันมาชมทีวีกันแทนทำให้ลิเกนั้นเริ่มได้รับความนิยมน้อยลงและกำลังจะถดถอยไปตามกาลเวลา

ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างมากเพราะลิเกนั้นก็ถือว่าเป็นมรดกอย่างหนึ่งของเมืองไทยเช่นเดียวกันเลยว่ากันว่านั้นลิเกเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาแล้วเป็นการแสดงครั้งแรกให้กับเจ้าขุนมูลนายและพระมหากษัตริย์ได้ชมดังนั้นเราจึงควรศึกษาวัฒนธรรมการจัดแสดงลิเกเอาไว้เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้ถึงศิลปะการแสดงของคนในสมัยโบราณว่ามีการแสดงกันในรูปแบบไหนสวยงามอย่างไรนั่นเอง หากใครเคยดูการแสดงลิเก จะเห็นได้ว่า เราจะได้เห็นการรำ การร้องเพลง และการแสดงถ่ายทอดจากนักแสดงออกมาได้อย่างสวยงามและอ่อนช้อยมากทีเดียว

 

สนับสนุนโดย.    bk8

ประวัติศาสนาพราหมณ์ –ฮินดู 

          สำหรับศาสนาพราหมณ์ –ฮินดู ในปัจจุบันนี้มีคนที่นับถือศาสนานี้น้อยมาก  หากเมื่อต้องเปรียบเทียบกับศาสนาอื่นอื่นที่มีอยู่ในโลกตอนนี้   แต่หากได้มีการศึกษาเกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์ –ฮินดู นี้อย่างแท้จริงก็จะได้รู้ว่า ที่จริงแล้ว ศาสนาพราหมณ์ –ฮินดู นี้นับเป็นศานาที่เกิดขึ้นมาในโลกใบนานก่อนศาสานาอื่นอื่น ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าเป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ 

          แต่ถึงแม้จะเป็นศานาที่เกิดมานานกว่า เก่าแก่กว่าศาสนาอื่น แต่เมื่อเริ่มมีศาสนาพุทธเริ่มเข้ามา ศาสนาพราหมณ์ –ฮินดู ก็มีคนให้ความนับถือลดน้อยถอยลง จนในที่สุดก็เสื่อมความนิยมลงนั่นเอง โดยมีศาสนาพุทธเข้ามาแทนที่   แต่หลังจากนั้นศาสนาพราหมณ์ –ฮินดูก็มีการปฏิรูปด้านศาสนาของตนเองขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 นั่นเอง

         สำหรับการปฏิรูปศาสนาของ ศาสนาพราหมณ์ –ฮินดูนั้น ได้เริ่มมีการเอาหลักธรรมบางส่วนของศาสนาพุทธเขามา ทำให้หลายคนเริ่มกลับมาสนใจศาสนาพราหมณ์ –ฮินดู กันมากขึ้น   สำหรับศาสนาพราหมณ์ –ฮินดู นิยมนับถือกันมาในกลุ่มคนของประเทศอินเดีย เนื่องจากว่าอารยธรรมของศาสนาพราหมณ์ –ฮินดู มีการเผยแพร่เข้ามาที่ประเทศอินเดียผ่านทางแม่น้ำสินธุ  ซึ่งการนับถือของ ศาสนาพราหมณ์ –ฮินดู นั้นนิยมนับถือเทวดา 

       ดังนั้นจะเห็นได้ว่าอินเดียทางตอนเหนือนั้น จึงมีการนับถือพระศิวะ  เพราะพระศิวะในศาสนาพราหมณ์ –ฮินดู  นั้นก็คือเทวดาเป็นเทพที่สิงสถิตอยู่ที่ภูเขาหิมาลัยนั่นเอง   และในขณะเดียวกันองค์เทพที่ปกปักษ์รักษาประเทศอินเดียทางด้านตอนใต้นั่นก็คือ พระวิษณุ  เนื่องจากชาวบ้านเชื่อกันว่า องค์พระวิษณุนั้นจะบันดาลฝน และพายุ ดังนั้นกลุ่มชาวประมง จึงค่อนข้างเคารพนับถือพระวิษณุกันมากเลยทีเดียว 

      อย่างไรก็ตามคนอินเดียที่อยู่ทางตอนใต้ไม่ไดนับถือเพียงแค่องค์พระวิษณุ องค์เดียวเพียงเท่านั้น  เพราะยังมีเทพองค์อื่นอื่นอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระนิรุทธ  ซึ่งจะเป็นชาวป่าที่ให้ความเคารพนับถือ และยังมีพระพิฆเนตร ที่จะมีคนนับถือกันมากอีกด้วย

  อย่างไรก็ตามมีช่วงหนึ่งที่คนในประเทศอินเดียเกิดแตกแยกกัน และมีการขับไล่กลุ่มราชวงศ์ รวมถึงศาสนาอื่นอื่นในประเทศอินเดียก็ถูกกำจัด ดังนั้นผู้นำท้องถิ่นของแต่ละที่จึงได้รวมตัวกัน นำองค์เทพของแต่ละถิ่นที่ตนนับถือมารวมกัน ให้เป็นเพียงหนึ่งเดียว แล้วมีการเรียกตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ ว่าศาสนฮินดู  

       ดังจะเห็นได้ว่าปัจจุบันนั้น เราจะมีการรู้จัก ศาสนาพราหมณ์ –ฮินดู  ว่าเป็นศานาฮินดูนั่นเอง  ในสมัยก่อน ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาเผยแพร่พระพุทธศานาพระองค์ก็เคยนับถือศาสนาพราหมณ์ มาก่อน ดังนั้นจึงเรียกได้ว่า ศาสนาพราหมณ์ –ฮินดู กับศาสนาพุทธจึงมีความเกี่ยวพันกันนั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  aecasino

ตำนานการสร้างประวัติเสาชิงช้า

         ในกรุงเทพฯนั้นจะมีเสาชิงช้าซึ่งเป็นเสาชิงช้าขนาดใหญ่สูงเท่ากับตึก 5 ชั้นโดยมีการทาสีแดงเอาไว้โดยสถานที่ตั้งนั้นจะอยู่ในกรุงเทพฯตรงบริเวณเขตพระนครนั่นเองซึ่งเสาชิงช้านั้นมีประวัติการก่อสร้างมานานหลายร้อยปีแล้วโดยว่ากันว่าสร้างมาตั้งแต่สมัยของรัชกาลที่ 1

จนถึงปัจจุบันนี้เสาชิงช้าก็ยังคงมีอยู่ให้เห็นโดยมีการบูรณะซ่อมแซมมาโดยตลอดสำหรับการก่อตั้งเสาชิงช้านั้นว่ากันว่าเกิดมาจากการที่รัชกาลที่ 1 นั้นต้องการที่จะให้บริเวณดังกล่าวนั้นเป็นสถานที่สำหรับการประกอบพิธีตรียัมพวาย  ตีปวาย

ซึ่งว่ากันว่าพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นพิธีที่สร้างขึ้นมาสำหรับผู้ที่นับถือศาสนาพราหมณ์ฮินดูโดยมีความเชื่อกันว่าการประกอบพิธีนี้จะเป็นการต้อนรับพระอิศวรซึ่งพระองค์นั้นแต่เดิมแล้วอยู่บนสรวงสวรรค์แต่จะลงมาที่โลกมนุษย์ในวันขึ้น 7 ค่ำเดือนยี่ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 จึงได้มีการโปรดเกล้าให้ทรงสร้างเสาชิงช้าเอาไว้เพื่อเป็นการทำพิธีโล้ชิงช้าเพื่อเป็นการต้อนรับพระอิศวรที่จะเสด็จลงมาจากสวนสวรรค์นั่นเอง  

         อย่างไรก็ตามการเสด็จลงมาสวนสวรรค์ของพระอิศวรนั้นพระองค์ไม่ได้ลงมาเพียงแค่พระองค์เดียวเท่านั้นยังมีเหล่าเทวดาทั้งหลายรวมถึงเหล่าธิดาเทพทั้งหลายได้ลงมาเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยเช่นเดียวกันซึ่งในที่นี้จะมีตั้งแต่พระอาทิตย์   พระคงคา  พระแม่ธรณี  พระจันทร์

และยังมีองค์เทพอื่นๆอีกมากมายหลายองค์ที่จะมาคอยเข้าเฝ้าพระอิศวรตรงบริเวณที่มีการทำพิธีโล้ชิงช้าส่วนวิธีการลดสินค้านั้นว่ากันว่ามีตำนานที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการทำพิธี ตรียัมปราย หรือที่เราเรียกกันว่าพิธีโล้ชิงช้านั่นเอง

โดยพิธีนี้ในอดีตกาลได้มีข้อมูลบันทึกไว้เป็นหลักฐานในคัมภีร์เฉลิมไตรภพซึ่งได้มีการกล่าวถึงพิธีดังกล่าวไว้ว่าเป็นพิธีที่จัดขึ้นมาจากการที่ในสมัยก่อนนั้นพระมหาอุมาเทวีพระองค์ทรงมีความวิตกกังวลเกรงว่าโลกมนุษย์นั้นจะถึงภัยพิบัติโลกจะแตกดับสลายจึงได้มีการพนันกับพระอิศวรว่าโลกมันจะแตกดับจริงหรือไม่

เนื่องจากว่าพระอิศวรนั้นเป็นผู้ที่สร้างโลกขึ้นมาโดยพระอิศวรนั้นพนันว่าโลกจะยังคงอยู่และไม่แตกดับซึ่งวิธีการพนันของพระอุมาเทวีกับพระอิศวรนั้นกระทำกันได้โดยที่พระอุมาเทวีจะให้พระอิศวรนั้นยืนขาเดียวหลังจากนั้นพระองค์จะแกว่งตัวเองไปใกล้กับพระอิศวรถ้าหากพระอิศวรไม่ล้มลงแสดงว่าโลกจะไม่ถึงกาลอวสาน

โดยพระอุมาเทวีนั้นได้มีการให้พญานาคซึ่งเป็นบริวารของตนนั้นถึงตนเองระหว่างต้นพุทราแล้วพระอุมาเทวีก็ทรงนั่งไปบนล่างของพญานาคแล้วแกว่งตัวเองไปที่พระศิวะซึ่งเมื่อมีการทำพิธีการปรากฏว่าพระศิวะนั้นไม่ล้มลงจึงเป็นอันที่ทราบกันดีว่าพระศิวะนั้นชนะการพนันพระอุมาเทวีหลังจากนั้นบรรดามนุษย์จึงได้มีการสร้างเสาชิงช้าขึ้นมาเพื่อที่จะเป็นตัวแทนต้นพุทราที่พระอุมาเทวีนั้นได้มีการโล้ชิงช้าไปใส่พระศิวะนั่นเอง

        และนี่จึงเป็นที่มาของการสร้างเสาชิงช้าในเขตพระนครของกรุงเทพฯเรานั่นเอง

 

สนับสนุนโดย  สูตรหวยยี่กี ruay

ศิลปินผู้ไม่เคยขายผลงานได้เลย 

งานศิลปะต่างๆถูกสร้างสรรค์โดยศิลปินไม่ว่าจะเป็นแนวคิดจินตนาการหรือว่าจะเป็นในส่วนของลักษณะงานต่างๆ ซึ่งบางคนก็มีเอกลักษณ์ในการทำงานที่แตกต่างกันไปการปฏิบัติงานการฝึกฝน

หรือไม่ซึ่งจะเป็นการประสบความสำเร็จของกิจกรรมต่างๆแต่ละยุคหรือว่าสมัยต่างๆก็มีลักษณะที่แตกต่างกันไป ศิลปินบางคนอาจจะทำงานเพียงไม่กี่ชิ้นก็สามารถประสบความสำเร็จได้เพราะการสื่อสารกับผู้คนหรือว่าจะเป็นการนำเสนองานต่างๆ

รวมทั้งยังมีในส่วนของศิลปินที่ทำงานเกือบพันชิ้นหรือหมื่นชิ้นก็ยังไม่มีคนซื้อหรือยังไม่มีคนเข้าถึง ถ้ามีการพูดถึงจิตรกรที่มีความยิ่งใหญ่มากที่สุดอันดับต้นๆของโลกและเป็นความล้มเหลวอันดับต้นๆของโลกเช่นเดียวกันนั่นก็คือคงไม่พ้น คนที่ชื่อว่าแวนโก๊ะ แวนโก๊ะคือจิตรกรที่มีความน่าสนใจ

อย่างมากเพราะเขาต้องต่อสู้กับโรคซึมเศร้า และตลอดชีวิตเขาก็แทบจะไม่เคยขายงานศิลปะได้เลยเขาเขียนงานในทุกๆวันสร้างจินตนาการชีวิตของจิตรกรต่างๆเป็นการถ่ายทอดรูปแบบงานต่างๆมีการจดบันทึกเรื่องราวสร้างรูปแบบโครงสร้างการทำงานต่างๆ

ผู้คนให้ความสนใจในการเก็บรักษาโครงการจิตรกรต่างๆที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายมากยิ่งขึ้นเพราะรูปแบบงานต่างๆเหล่านี้มีการพัฒนาและมีการปรับเปลี่ยนตัวตลอดเวลานอกจากนี้เองงานประติมากรรมภาพวาดภาพเขียนยังมีรูปแบบทรงคุณค่าที่ทำให้มีความจำเป็นจะต้องมีการเก็บรักษาไว้ 

การส่งต่อไม่ว่าจะเป็นแนวคิดการพัฒนารูปแบบงานต่างๆหรือแม้แต่จะเป็นการส่งต่อโครงสร้างความเข้าใจของผู้คนมีการพัฒนาตลอดเวลาผู้คนให้ความสนใจในการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ผลงาน

โดยเฉพาะจิตรกรที่มีความมุ่งมั่นในการส่งเสริมเกี่ยวกับงานศิลปะไม่ว่าจะเป็นการขยายความเข้าใจของผู้คนความรู้เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆสำนักงานศิลปะงานศิลปะเป็นการบ่งบอกถึงสภาพจิตใจของเกษตรกรนานๆ แวนโก๊ะตัวเองต้องต่อสู้กับโรคซึมเศร้า และการอกหักจากหญิงสาวทำให้ต้องตัดหู 1 ข้างไปเพิ่มให้กับผู้หญิงคนนั้น

แต่เขาก็ยังมีการทำงาน และเขาก็มีการทำงานศิลปะอยู่ตลอดเวลางานที่มี มีชื่อเสียง 1 อัน คือ Starry Night เป็นงานศิลปะที่มีความเรื่องลือและเรื่องชื่ออย่างมากในยุคปัจจุบันก็ไม่สามารถประเมินค่าได้ในงานศิลปะนี้ แต่ตลอดอายุชีวิตการทำงานของแวนโก๊ะช่างน่าเศร้าเพราะเขาไม่เคยมีคนเห็นคุณค่าของงานศิลปะนานๆ

จนเขามีการฆ่าตัวตายโดยใช้ปืนยิงหัวตัวเองตาย และหลังจากนั้นไม่ว่าจะเป็นปืน ที่เขาใช้สังขารตัวเอง หรือภาพวาดเองก็ตามในยุคหลังนี้ค่อนข้างมีคุณค่าและมีราคาที่ค่อนข้างสูงบางชิ้นงานของเขาก็ไม่สามารถประเมินค่าได้

นี่จึงเป็นชีวิตของศิลปินหรือกิจกรรมต่างๆที่มีความทุ่มเทให้กับงานศิลปะในช่วงเวลาที่เขาไม่มีลมหายใจอยู่งานของเขากลับมีความต้องการของผู้คนมากมาย 

 

สนับสนุนโดย  hiallbet